วิตามิน ที่เหมาะสำหรับผิว ให้สวย สุขภาพดี

           ในสกินแคร์บำรุงผิวที่เราใช้หลายๆแบรนด์ นั้นอุดมไปด้วยส่วนผสมที่เป็น วิตามิน ค่ะ นั่นก็เป็นเพราะว่าวิตามิน ถือเป็นสารอาหารผิวที่ดี ที่สามารถช่วยบำรุงผิวให้สวยสุขภาพดีได้ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินในสกินแคร์บำรุงผิวหรือการทานเป็นอาหารเสริมก็ตาม ผิวของเราจะขาดวิตามินไม่ได้เลย ส่วนวิตามินตัวไหนจะมีส่วนช่วยในเรื่องของผิวพรรณบ้าง ไปเช็คกันเลย

1.วิตามินซี

วิตามินซี (Vitamin C) ขนาด 50 g | World Chemical Group

           หากพูดถึงเรื่องวิตามินสำหรับบำรุงผิว หลายๆคนก็จะต้องนึกถึงวิตามินซีเป็นอันดับแรกๆอย่างแน่นอน เรียกได้ว่าวิตามินซีถือเป็นส่วนผสมในสกินแคร์ตัวเด็ดหลายๆตัวเลยล่ะค่ะ ซึ่งวิตามินซี หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า L-ascorbic acid อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดการผลิตเม็ดสี รวมไปถึงช่วยปกป้องผิวที่ถูกรังสียูวีทำร้ายจนเกิดเป็นความหมองคล้ำและสัญญาณแห่งวัยต่างๆ อย่างเช่น ริ้วรอย และจุดด่างดำ โดยเราสามารถเลือกใช้เป็นสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี หรือทานเป็นอาหารเสริมวิตามินซี ก็ได้ค่ะ ซึ่งปริมาณที่แนะนำคือ 1,000 มก.ต่อวันค่ะ

เป็นวิตามินที่สำคัญต่อสุขภาพผิว มีหน้าที่ช่วยให้โครงสร้างของคอลลาเจนมีความเสถียร ส่งเสริมการทำงานของยีนส์ที่สร้างคอลลาเจน กำจัดอนุมูลอิสระต่าง ๆ ที่เกิดจากมลพิษและแสงแดด และยับยั้งกระบวนการสร้างเมลานิน ลดรอยด่างดำ

จากงานวิจัยเกี่ยวกับวิตามินซีและสุขภาพผิว พบว่า การรับประทานวิตามินซีทั้งในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและในรูปแบบอาหาร สามารถช่วยเรื่องความยืดหยุ่น ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ความหยาบกร้านและสีผิว ช่วยส่งเสริมการหายของแผล ลดรอยแผลเป็น ลดการอักเสบที่ผิวหนัง ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนัง โดยทำงานร่วมกับวิตามินอีในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ

การขาดวิตามินซีทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิด ผิวบาง (Skin Fragility) มีเลือดออกตามไรฟัน และแผลหายช้า ทั้งหมดเกิดจากการสังเคราะห์คอลลาเจนที่เปลี่ยนแปลงไปจากการขาดวิตามินซี โดยปกติผิวจะมีความเข้มข้นของวิตามินซีสูงเมื่อเทียบกับเนื้อเยื่ออื่น ๆ ในร่างกาย โดยพบในชั้นหนังกำพร้า (Epidermal Layer) มากกว่าชั้นหนังแท้ (Dermis) 2-5 เท่า วิตามินซีจะมีปริมาณลดลงในผิวที่แก่ชราและผิวที่ถูกทำลายจากแสง จึงอาจกล่าวได้ว่า ระดับของวิตามินซีในผิวเป็นสิ่งสะท้อนถึงการสัมผัสอนุมูลอิสระที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมลพิษและแสง UV

แหล่งของวิตามินซี คือ ผักและผลไม้ เช่น ฝรั่ง มะขามป้อม มะขามเทศ เงาะ มะละกอ ส้มโอ พริกหวาน คะน้า บรอกโคลี เป็นต้น กรมอนามัยแนะนำให้ได้รับวิตามินซีต่อวันอยู่ที่ 100 มิลลิกรัมในผู้ชาย และ 85 มิลลิกรัมในผู้หญิง

2.วิตามินอี

วิตามิน E (Vitamin E) ขนาด 50 g | World Chemical Group

          วิตามินอี หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Alpha-tocopherol ถือเป็นอีกหนึ่งวิตามินที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณ เนื่องจากในวิตามินอีอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ปลอบประโลมผิวไม่ให้เกิดการระคายเคือง พร้อมเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว อีกทั้งยังช่วยปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ผิวหนังจากการเกิดออกซิเดชั่นเมื่อโดนรังสียูวีทำร้าย รวมไปถึงยังช่วยลดสัญญาณแห่งวัยอย่างริ้วรอยได้ดีอีกด้วยค่ะ โดยจะแนะนำให้ทานเป็นอาหารที่มีส่วนผสมของวิตามินอีหรืออาหารเสริม มากกว่าการใช้สกินแคร์ค่ะ เนื่องจากการทานวิตามินอีจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งปริมาณที่แนะนำคือ 15 มก.ต่อวันค่ะ

วิตามินอี มีความเข้มข้นในชั้นหนังกำพร้ามากกว่าชั้นหนังแท้ มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับวิตามินซี และเป็นด่านแรกของการป้องกันการสร้างอนุมูลอิสระจากไขมัน (Lipid Peroxidation) ปกป้องเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย กระบวนการต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี ต้องอาศัยกระบวนการของสารอื่นร่วมด้วยอย่าง วิตามินซี ซีลีเนียม เป็นต้น

ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี ช่วยปกป้องผิวจากการแก่ชรา และช่วยในการรักษาสภาวะผิวต่าง ๆ เช่น ฝ้า รอยแผลเป็น และผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง การศึกษา วิตามินอีมีส่วนช่วยให้ฝ้าจางลงได้ จากการยับยั้งกระบวนการสร้างอนุมูลอิสระของไขมันที่เกิดขึ้นและเพิ่มปริมาณของกลูตาไทโอนภายในเซลล์ นอกจากนี้ วิตามินอีมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด สามารถยับยั้งการแข็งตัวของเกล็ดเลือดและโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบได้

3.วิตามินเอ

          วิตามินเอ หรือที่หลายคนคุ้นเคยกันในชื่อ เรตินอล ถือเป็นหนึ่งในส่วนผสมตัวเด็ดที่มีส่วนช่วยลดสิวและลดเลือนริ้วรอยได้ดีมากๆ เราจึงมักจะเห็นสกินแคร์ลดสิวและสกินแคร์ Anti-aging มีส่วนผสมของเรตินอลอยู่นั่นเอง ซึ่งนอกจากในเรื่องของสิวและริ้วรอยแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันการสูญเสียคอลลาเจน กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดรอยดำ และยังป้องกันผิวเสียจากแสงแดดทำร้ายอีกด้วยค่ะ

4.วิตามินดี

           ร่างกายของเราจะได้รับวิตามินดีอย่างเต็มที่เมื่อผิวของเราสัมผัสกับแสงแดดอ่อนๆยามเช้าในช่วงก่อน 10 โมงค่ะ ซึ่งวิตามินดีถือเป็นอีกหนึ่งวิตามินที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวได้ดี อย่างไรก็ตามยังมีข้อถกเถียงที่ว่าการทาครีมกันแดดทุกวันอาจทำให้ขาดวิตามินดีหรือไม่ ดังนั้นในช่วงเช้าๆก่อน 10 โมงนี้จึงเหมาะมากๆที่จะให้ร่างกายได้รับวิตามินดี เพราะถ้าหากว่าเป็นช่วงที่แสงแดดจัดตอน 10 โมง – บ่าย 2 จะเป็นการทำร้ายผิวเสียมากกว่าค่ะ

เป็นวิตามินละลายในไขมัน ลักษณะเหมือนฮอร์โมนสเตียรอยด์ มีความสำคัญในสมดุลแคลเซียมของร่างกาย วิตามินดีเป็นวิตามินที่ได้รับจากแสงแดด มีความสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อ

การทาวิตามินดีที่ผิวหนัง ช่วยยับยั้งการสร้างเซลล์ผิวหนังที่มากเกินไป ลดการหนาตัวของผิวหนังบริเวณที่เกิดโรค เช่น โรคสะเก็ดเงิน วิตามินดียังช่วยลดการอักเสบ การหายของแผล  ป้องกันผิวหนังจากการถูกทำลายจากแสงแดด ช่วยลดการตายของเซลล์จากแสงแดดได้ถึง 55-70%  และภาวะการขาดวิตามินดีส่งผลต่อความรุนแรงของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

แหล่งของวิตามินดี ในอาหารตามธรรมชาติ เช่น เห็ด ปลาที่มีไขมันสูง ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาเทราท์ ปลาแมคเคอเรล รวมถึงอาหารเสริมสารอาหาร (Fortified Food) เช่น น้ำส้ม นมถั่วเหลือง โยเกิร์ต อาหารเช้าประเภทซีเรียล เป็นต้น

5.วิตามินบี 3

วิตามิน B3 (Vitamin B3) ขนาด 50 g | World Chemical Group

          วิตามินบี 3 หรือที่เรารูจักกันในชื่อ Niacinamide ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนผสมฮิตในสกินแคร์บำรุงผิวหลายๆตัวดังเลยก็ว่าได้ค่ะ เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวได้ดีมากๆค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยปลอบประโลมผิว ลดความแห้งกรานให้ผิวชุ่มชื้น บรรเทาอาการแดงและระคายเคืองผิว รวมไปถึงยังช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ช่วยปรับสีผิว ลดเลือนจุดด่างดำ ริ้วรอย และกระชับรูขุมขนให้เล็กลงด้วยค่ะ

มีประโยชน์มากมายต่อผิว การทาวิตามินบี 3 ช่วยทำให้เกราะป้องกันของผิวมั่นคงมากขึ้น ลดการสูญเสียน้ำจากผิว และกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนต่าง ๆ เช่น เคราติน เพิ่มการสังเคราะห์เซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งเป็นไขมันที่พบได้ตามธรรมชาติบนผิว มีหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นของผิว นอกจากนี้ วิตามินบี 3 ยังใช้ในการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง มีผลในการลดสารอักเสบต่างๆ เช่น IL-1β, IL-6, IL-8, TNF จึงถูกใช้เพื่อรักษาสิว ผื่นกุหลาบ และภาวะอักเสบที่ผิวอื่น ๆ รวมถึงการรักษาสิวด้วย

การวิจัยที่ทดลองรักษาสิวอักเสบในผู้ป่วย 160 คน โดยใช้ 4% Nicotinamide gel เปรียบเทียบกับ 4% Erythromycin Gel 2 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ผลการวิจัยพบว่า ทั้งสองกลุ่มสามารถลดการอักเสบได้ แต่กลุ่มที่ใช้ Nicotinamide Gel ซึ่งมีส่วนผสมของวิตามินบี 3 ช่วยลดภาวะต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป (Seborrhea) ได้ดีกว่า

วิตามินบี 3  มีบทบาทในการซ่อมแซมสายดีเอ็นเอที่ผิดปกติ ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง การรับประทานวิตามินบี 3 จึงอาจมีบทบาทในการป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ การวิจัยเกี่ยวกับการรับประทานวิตามินบี 3 เพื่อชะลอหรือลดการกลายพันธุ์ของเซลล์ที่จะกลายเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง พบว่ากลุ่มที่ได้รับวิตามินบี 3 พบเซลล์มะเร็งใหม่ ลดลง 23% หลังจากผ่านไป 12 เดือน เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม

อีกงานวิจัยแสดงให้เห็นผลของการทา 5% วิตามินบี3 ในผู้หญิง 50 คน ที่ใบหน้ามีสัญญานของความแก่ชราเนื่องจากแสงแดด การศึกษาแสดงให้เห็นว่า สามารถลดริ้วรอย จุดด่างดำ จุดแดง และยังช่วยเรื่องความยืดหยุ่นของผิวอีกด้วย

แหล่งอาหารของวิตามินบี 3 คือ ไข่ ปลา เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ถั่วเมล็ดแห้ง รำข้าว และยีสต์ นอกจากได้รับจากอาหารแล้ว ร่างกายสามารถสร้างวิตามินบี 3 ได้จากกรดอะมิโนทริปโตเฟน (Tryptophan) แต่การสร้างวิตามินบี 3 จะเกิดปัญหาในผู้ที่ขาดวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบี 6

6.วิตามินบี 5

วิตามิน B5 (Vitamin B5) ขนาด 50 g | World Chemical Group

          วิตามินบี 5 หรือที่เรารู้จักอีกชื่อหนึ่งว่า Pantothenic acid เป็นอีกหนึ่งวิตามินที่มีส่วนช่วยปลอบประโลมผิว บำรุงผิวให้เนียนนุ่ม พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวไม่แห้งกร้าน รวมไปถึงยังช่วยต้านการอักเสบของผิว ช่วยลดอาการระคายเคืองผิวได้ดีมากๆค่ะ

7.วิตามินเอฟ

          วิตามินเอฟ หรือที่ย่อมาจากตัว F ของคำว่า Fat ที่แปลว่าไขมันค่ะ เนื่องจากวิตามินตัวนี้พบในกรด Linoleic acid หรือกรดไขมันโอเมก้า 6 และ Linolenic acid หรือกรดไขมันโอเมก้า 3 นั่นเอง ซึ่งร่างกายของเราไม่สามารถผลิตวิตามินเอฟได้เอง เราจึงจำเป็นต้องอาศัยการกินหรือสกินแคร์เข้าช่วยค่ะ วิตามินเอฟมีส่วนช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง พร้อมปลอบประโลมผิว และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ไม่แห้งหยาบกร้านค่ะ

8.วิตามินเค

          วิตามินเคเป็นอีกหนึ่งวิตามินที่ดีสำหรับผิวของเราค่ะ เนื่องจากวิตามินเคมีส่วนช่วยลดรอยแตกลาย รอยคล้ำใต้ตา รวมถึงยังช่วยเร่งการสมานผิว และทำให้บาดแผลหรือรอยฟกช้ำจากการผ่าตัดหายเร็วขึ้นค่ะ ซึ่งร่างกายควรได้รับวิตามินเคประมาณ 90-120 ug ต่อวันจึงจะถือว่าเพียงพอนะคะ

 

สนใจติดต่อ เวิลด์เคมีคอล กรุ๊ป ผู้นําด้านการจําหน่ายและนำเข้า สารเคมีภัณฑ์ เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ และ ขนาดย่อม ประเภท เคมีอุตสาหกรรม เคมีทําความสะอาด เคมีสระว่ายน้ำ เคมีบำบัดน้ำ เคมีงานปั้น-งานหล่อ เคมีอาหาร กลิ่น สารสกัด สี น้ำหอม เคมีเครื่องสำอาง อาทิ กลีเซอรีน โซดาไฟเกล็ด โซเดียมเมต้าไบซัลไฟต์ เอทิลแอลกอฮอล์ ฯลฯ สารพัดด้านเคมี เวิลด์เคมิคอล กรุ๊ป พร้อมให้บริการและให้ปรึกษากับลูกค้าทุกท่าน

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line ID : @worldchemical
Facebook : https://www.facebook.com/chemical.chiangmai
เว็บไซต์ : www.worldchemical.co.th
โทร : 053 204 446-7