ว่ากันด้วยเรื่อง “อุปกรณ์วิทยาศาสตร์”
อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ มีหลากหลายประเภท
อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในห้องปฏิบัติการและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ มีหลายประเภทและหลายลักษณะตามการใช้งาน เช่น
1. เครื่องมือวัด:
– ไมโครมิเตอร์: ใช้วัดขนาดเล็กมาก
– เวอร์เนียร์คาลิเปอร์: วัดขนาดภายนอกและภายในของวัตถุ
– เทอร์โมมิเตอร์: วัดอุณหภูมิ
2. อุปกรณ์แยกสาร:
– บีกเกอร์: ใช้สำหรับใส่สารละลายและสารเคมี
– กรวยแยก: ใช้สำหรับแยกสารของเหลวที่ไม่ละลายกัน
– เครื่องเหวี่ยงสาร: ใช้แยกสารตามน้ำหนักโมเลกุล
3. อุปกรณ์ทางแสง:
– กล้องจุลทรรศน์: ขยายภาพของสิ่งที่เล็กเกินกว่าที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
– สเปกโตรมิเตอร์: วิเคราะห์สเปกตรัมของแสง
4. อุปกรณ์ไฟฟ้า:
– มัลติมิเตอร์: วัดแรงดัน กระแส และความต้านทานไฟฟ้า
– ออสซิลโลสโคป: แสดงรูปคลื่นไฟฟ้า
5. อุปกรณ์ป้องกัน:
– แว่นตานิรภัย: ป้องกันดวงตาจากสารเคมีหรือเศษวัตถุ
– ถุงมือ: ป้องกันมือจากสารเคมีหรือความร้อน
อุปกรณ์วิทยาศาตร์ เหล่านี้เป็นพื้นฐานในงานวิจัยและการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและเชื่อถือได้
มาตรฐานของ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์
มีหลายประการที่มุ่งเน้นความปลอดภัยในการใช้งาน และความถูกต้องของผลการทดลอง ดังนี้:
-
ความปลอดภัย:
- อุปกรณ์ทั้งหมดควรมีการออกแบบและผลิตโดยใช้วัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน
- ต้องมีคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานอย่างปลอดภัยและการทำความสะอาด
- อุปกรณ์ที่มีส่วนที่อาจทำให้เกิดอันตรายควรมีการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยง
-
ความถูกต้องของผลการทดลอง:
- อุปกรณ์ต้องมีคุณสมบัติที่ทำให้สามารถทำการทดลองได้อย่างถูกต้องและเชื่อถือได้
- ต้องมีความแม่นยำในการวัดและทดสอบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
- การใช้อุปกรณ์ควรไม่มีผลต่อผลการทดลองที่ไม่ต้องการ
-
ความทนทานและความคงทน:
- อุปกรณ์ควรมีความทนทานต่อการใช้งานในระยะยาวโดยไม่มีการเสื่อมสภาพอย่างมาก
- ควรมีอายุการใช้งานที่ยาวนานโดยไม่ต้องมีการซ่อมแซมบ่อย
-
การเก็บรักษา:
- มาตรฐานของอุปกรณ์ควรมีคำแนะนำในการจัดเก็บอุปกรณ์เพื่อป้องกันความเสื่อมสภาพ
- ควรมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการจัดเก็บอุปกรณ์เช่นที่มีความสะอาดและไม่มีความชื้นสูง
อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ที่ต้องใช้ในห้องแลป
สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามสาขาวิชาต่าง ๆ ได้ดังนี้:
- เครื่องมือทดลองทางเคมี:
- กระบอกสูญญากาศ
- เตาเผาหรือเตากระดาษ
- เครื่องปั้นเซรามิก
- กระบอกเชื้อเพลิง
- เครื่องผสมสารเคมี
- เครื่องมือทดลองทางชีววิทยา:
- กระบอกเชื้อเพลิง
- อุปกรณ์สำหรับการปลูกเซลล์
- ลูกเล่นพันธุศาสตร์
- เครื่องอ่านภาพและวัดเลือด
- เครื่องเลนส์ขยาย
- เครื่องมือทดลองทางฟิสิกส์:
- โปรเจกเตอร์
- โปรโตมิเตอร์
- เครื่องวัดความเร็ว
- อุปกรณ์สำหรับการทดลองทางกลศาสตร์
- เครื่องมือทดสอบการกระจายแสง
- เครื่องมือวัดและทดลองทางวิทยาศาสตร์ทั่วไป:
- เครื่องชั่ง
- เครื่องวัดอุณหภูมิ
- เครื่องวัดความดัน
- เครื่องมือวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
- ซอฟต์แวร์ทางวิทยาศาสตร์
- อุปกรณ์ความปลอดภัยและการทำความสะอาด:
- เสื้อคลุมป้องกัน
- แว่นตาป้องกัน
- ถังขยะทางการแลป
- อุปกรณ์สำหรับการบริหารจัดการแลป:
- ตะกร้าเครื่องมือ
- ป้ายประชาสัมพันธ์หรือป้ายสั่งการ
- กระดาษทดลองและเครื่องเขียน
การเลือกใช้ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ แต่ละชนิดควรพิจารณาจากความเหมาะสมกับการทดลองที่จะทำและความปลอดภัยในการใช้งานด้วยค่ะ การดูแลรักษาและการทำความสะอาดอุปกรณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและปลอดภัยจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ท่านทำค่ะ.
แล้ว “ห้องแลปเคมี” จำเป็นต้องมีอุปกรณ์วิทยาศาสตร์อะไรบ้าง แล้วแต่ละอุปกรณ์ใช้ทำอะไร สำคัญอย่างไร บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกัน
บีกเกอร์ (Beaker)
บีกเกอร์ (Beaker) เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญในห้องปฏิบัติการทางเคมีและวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ โดยมีลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
1. ขนาด : บีกเกอร์มีหลายขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ (50 ml – 5 L) ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยสามารถดำเนินการทดลองและทำการวัดปริมาณสารได้
2. วัสดุ : บีกเกอร์มักทำจากแก้ว แต่ก็มีบีกเกอร์ที่ทำจากพลาสติกหรือวัสดุอื่น ๆ และมีคุณสมบัติต่างกัน บีกเกอร์แบบแก้วทนความร้อนได้ดีและมักถูกนำมาใช้ในการทดลองที่ต้องการความสูงอุณหภูมิ เช่น การเตรียมสารละลายหรือการต้มสารละลาย ในขณะที่บีกเกอร์ที่ทำจากพลาสติกมักจะไม่ทนความร้อนสูงมาก เพราะพลาสติกมีจุดเปลี่ยนระหว่างการร้อนน้อยกว่าแก้ว ดังนั้นจึงถูกนำมาใช้สำหรับการทดลองที่ต้องการความร้อนไม่สูงมาก
3. การใช้งาน : หน้าที่หลัก ๆ ของบีกเกอร์จะถูกใช้ในการผสมสารเคมี ต้มสารละลาย ตกตะกอน หรือทำปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ในการทดลอง นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้บีกเกอร์ในการผสมสารหรือสร้างสภาวะที่ต้องการในการทดลองโดยง่ายและมีประสิทธิภาพ
กระบอกตวง (Cylinder)
กระบอกตวง (Cylinder) เป็น อุปกรณ์วิทยาศาตร์ ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์และเคมีเพื่อวัดปริมาตรของเหลวหรือสารละลาย การวัดปริมาตรด้วยกระบอกตวงมีข้อได้เปรียบในการทำงานที่ต้องการความแม่นยำในปริมาตรของสาร โดยมีลักษณะที่สำคัญดังนี้
1. ขนาด : กระบอกตวงมีหลายขนาดตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ขนาดส่วนใหญ่มักอยู่ระหว่าง 5 ml ถึง 2 L โดยมีหน่วยวัดต่าง ๆ เช่น มิลลิลิตร (ml) หรือ ลิตร (L)
2. วัสดุ : กระบอกตวงมักทำจากแก้วหรือพลาสติก กระบอกตวงที่ทำด้วยแก้วมักให้ความแม่นยำในการวัดปริมาตรสูงมากกว่า และมักถูกใช้ในการทดลองที่ต้องการความแม่นยำ เช่น การเตรียมสารละลายหรือทำปฏิกิริยาระหว่างสาร
3. การใช้งาน : กระบอกตวงใช้เพื่อตวงปริมาตรของเหลวหรือสารละลายโดยการให้น้ำหรือสารไหลเข้าไปในกระบอกและวัดปริมาตรโดยอ่านระดับที่สารไหลขึ้นมาในกระบอก การทำงานนี้มักต้องใช้รูปธรรมในการวัดปริมาตรอย่างแม่นยำ
4. ความแม่นยำ : ความแม่นยำในการวัดปริมาตรด้วยกระบอกตวงขึ้นอยู่กับระดับและความสม่ำเสมอของขอบบนของกระบอก แต่หากเราต้องการความแม่นยำในการวัดปริมาตรจำเป็นต้องใช้ปิเปตมาเป็นตัวช่วย
ขวดรูปชมพู่ (Erlenmeyer Flask)
ขวดรูปชมพู่ (Erlenmeyer Flask) เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่สำคัญในห้องปฏิบัติการทางเคมีและวิทยาศาสตร์ มีลักษณะเป็นกรวยคันชมพู่ที่กว้างล่างและมีเส้นบอกปริมาตรที่ช่วยในการวัดปริมาตรของสารได้อย่างแม่นยำ มีคุณสมบัติดังนี้
1. ลักษณะของรูปทรง : ขวดรูปชมพู่มีรูปทรงคล้ายกรวยโดยมีหลายขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ แต่ขนาดที่นิยมใช้ในห้องปฏิบัติการทางเคมีมักอยู่ระหว่าง 250 ml ถึง 500 ml โดยมีส่วนล่างที่กว้างและส่วนคอที่แคบ รูปทรงนี้ทำให้ขวดสามารถใช้ในการผสมสารละลายและการทดลองเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ
2. การใช้งาน : ขวดรูปชมพู่มักถูกใช้ในการผสมสารละลาย การเติมสาร การทดลองทางเคมี การรวบรวมสารหรือการปฏิกิริยาเคมี รูปทรงคล้ายกรวยที่กว้างด้านล่างช่วยให้สารที่ถูกเก็บในขวดแจ้งและประสิทธิภาพ
3. เส้นบอกปริมาตร : ขวดรูปชมพู่มักมีเส้นบอกปริมาตรที่ช่วยในการวัดปริมาตรของสาร นี่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์สามารถวัดปริมาตรอย่างแม่นยำของสารที่อยู่ในขวด
4. วัสดุ : ขวดรูปชมพู่มักทำจากแก้วที่ทนความร้อนได้ดีและมีความสะอาด นอกจากนี้ยังมีขวดรูปชมพู่ที่ทำจากพลาสติกสำหรับการใช้งานที่ไม่ต้องการความสูงอุณหภูมิหรือความแม่นยำมากเท่าในการทดลองทางเคมี
แท่งแก้วคนสาร (Glass Rod)
แท่งแก้วคนสาร (Glass Rod) เป็นอุปกรณ์ที่มักถูกใช้ในห้องปฏิบัติการทางเคมีและวิทยาศาสตร์เพื่อหมุน คน หรือเทสารละลาย มีลักษณะดังนี้
1. ลักษณะ : แท่งแก้วคนมักมีรูปทรงเป็นแท่งยาวที่ปลายแบน ความยาวของแท่งแก้วคนมักอยู่ระหว่าง 10 – 20 นิ้ว โดยปลายแบนของแท่งมักใช้ในการคน หมุน หรือผสมสารละลายในการทดลอง
2. การใช้งาน : แท่งแก้วคนใช้เพื่อคนและผสมสารละลายให้เป็นเนื้อเดียวกัน โดยการคนหรือเป่าลงล่องครั้งเดียวจะช่วยให้สารละลายผสมเข้าด้วยกัน แท่งแก้วคนยังมีประโยชน์ในการช่วยเทสารละลายจากพาชนะหรือหลอดอื่น ๆ ไปยังอีกที่โดยเทสารละลายให้ไหลตามแท่งแก้วคน
3. วัสดุ : แท่งแก้วคนมักทำจากแก้วหรือวัสดุที่ไม่ทำลายหรือปนเปื้อนสารที่กำลงใช้ในการทดลอง นอกจากนี้ยังมีแท่งแก้วคนที่ทำจากพลาสติก ซึ่งมักใช้ในบางการทดลองที่ไม่ต้องการความแม่นยำในการคนสาร
หลอดหยด (Dropper)
หลอดหยด (Dropper) เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์และเคมีเพื่อหยดหรือถ่ายของเหลวไปยังสถานที่เป้าหมายอย่างแม่นยำ
1. ลักษณะ : หลอดหยดมักมีลักษณะเป็นหลอดแก้วที่เรียวลงที่ปลายมีตัวกระเปาะยาง (rubber bulb) ปลายของหลอดมีลักษณะเป็นกระเปาะยางใช้ในการดูดหรือปล่อยของเหลว
2. การใช้งาน : หลอดหยดใช้ในการหยดหรือถ่ายของเหลวจากหนึ่งที่ไปยังอีกที่ การใช้งานหลอดหยดต้องใช้ความระมัดระวังและความแม่นยำ
3. การดูแลรักษา : เพื่อรักษาความแม่นยำและความสะอาดของหลอดหยด ควรป้องกันไม่ให้ปลายของหลอดหยดกระทบหรือแตะกับอุปกรณ์หรือสิ่งรอบข้างที่ไม่เกี่ยวข้อง เนื่องจากมีความเสี่ยงที่สารจะปนเปื้อนเข้าไปในหลอดหยด ซึ่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการทดลองหรือวัดปริมาตร
หลอดทดลอง (Test Tube)
หลอดทดลอง (Test Tube) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์และเคมีเพื่อทดลองปฏิกริยาและเก็บตัวอย่างของสารต่าง ๆ มีลักษณะดังนี้
1. ลักษณะ : หลอดทดลองมักมีรูปทรงแบบลีน แบบกรวย และมีทั้งแบบที่มีปากและแบบที่ไม่มีปาก มีความยาวที่แตกต่างกัน
2. วัสดุ : หลอดทดลองมักทำจากแก้วที่สามารถทนความร้อนได้ เว้นแต่การทดลองที่มีอุณหภูมิสูงมาก ในกรณีที่ต้องใช้สารที่ทนไฟหรือทนความร้อนสูง
3. การใช้งาน : หลอดทดลองใช้ในการทดลองทางเคมีเพื่อผสมสารละลาย ทดสอบปฏิกริยาเคมี เก็บตัวอย่างของสาร หรือดูการเกิดปฏิกิริยา ปรากฏการณ์ทางเคมี
ตะเกียงบุนเสน (Bunsen Burner)
ตะเกียงบุนเสน (Bunsen Burner) เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในห้องปฏิบัติการทางเคมีและวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการต้มสารละลายหรือทดลองอากาศชนิดเปลวไฟ มีลักษณะดังนี้
1. ฐานของตะเกียง : ฐานของตะเกียงบุนเสนมักมีลักษณะที่หนักและมั่นคงเพื่อรองรับตะเกียงและป้องกันการเกร็งขณะใช้งาน ฐานอาจมีวาล์วปรับความสูงเพื่อปรับการรับแสงและอุณหภูมิที่แตกต่างกัน
2. ท่อตัวตะเกียง : ท่อตัวตะเกียงเป็นส่วนที่จับตะเกียงและที่น้ำแข็งหรือแข็งเย็นของหัวตะเกียง ปลายท่อจะเปิดให้เป็นเปลวไฟเพื่อให้แก๊สไหลเข้าตะเกียง
อุปกรณ์วิทยาศาสตร์มีหลายชนิดและใช้ในหลายสาขาของวิทยาศาสตร์เพื่อทดลอง วัด หรือวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับโลกและสาขาวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ในลักษณะทางปฏิบัติ
วัสดุที่ใช้ทำ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์
มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะและการใช้งานของอุปกรณ์นั้น ๆ โดยวัสดุหลัก ๆ ที่นิยมใช้ ได้แก่:
1. แก้ว (Glass):
– บอโรซิลิเกต: มีความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและทนทานต่อสารเคมี เช่น บีกเกอร์ แฟลสก์ และหลอดทดลอง
– แก้วควอตซ์: มีความบริสุทธิ์สูงและทนทานต่อความร้อน ใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง
2. พลาสติก (Plastic):
– โพลีโพรพิลีน (Polypropylene): ทนทานต่อสารเคมีและความร้อน ใช้ทำหลอดทดลองและบีกเกอร์
– โพลีเอทิลีน (Polyethylene): ใช้ทำภาชนะเก็บสารเคมีที่ไม่ต้องทนความร้อนสูง
– พอลิเมอร์อื่น ๆ: เช่น พอลิทีทาฟลูออโรเอทิลีน (PTFE หรือ Teflon) ที่ทนทานต่อสารเคมีและความร้อนสูง
3. โลหะ (Metal):
– สแตนเลสสตีล (Stainless Steel): ทนทานต่อการกัดกร่อนและความร้อน ใช้ทำเครื่องมือเช่น กรรไกร แหนบ และเครื่องมือผ่าตัด
– อะลูมิเนียม: น้ำหนักเบาและทนทาน ใช้ทำเครื่องมือวัดและอุปกรณ์ทางไฟฟ้า
4. เซรามิก (Ceramic):
– ใช้ทำอุปกรณ์ที่ต้องทนความร้อนสูง เช่น ครูซิเบิล และเตาหลอม
5. ยาง (Rubber):
– ใช้ทำอุปกรณ์ที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น หลอดยาง ซีล และฝาปิด
การเลือกใช้วัสดุแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับคุณสมบัติที่ต้องการ เช่น ความทนทานต่อสารเคมี ความทนทานต่อความร้อน ความโปร่งใส และความแข็งแรง เพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับงานวิจัยและการทดลองทางวิทยาศาสตร์
การดูแลรักษา อุปกรณ์วิทยาศาสตร์
เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันความเสียหายและยืดอายุการใช้งาน โดยทั่วไปมีวิธีการดังนี้:
1. การทำความสะอาด:
– ล้างหลังใช้งาน: ล้างอุปกรณ์ทันทีหลังการใช้งานเพื่อป้องกันการสะสมของสารเคมีหรือสิ่งสกปรก
– ใช้สารทำความสะอาดที่เหมาะสม: ใช้สารทำความสะอาดที่เหมาะสมกับชนิดของวัสดุ เช่น สบู่อ่อนหรือน้ำกลั่นสำหรับแก้วและพลาสติก
– ล้างด้วยน้ำกลั่น: หลังจากล้างด้วยสารทำความสะอาด ให้ล้างอุปกรณ์ด้วยน้ำกลั่นเพื่อขจัดสารตกค้าง
2. การจัดเก็บ:
– เก็บในที่แห้งและสะอาด: ป้องกันการเกิดสนิมหรือเชื้อรา
– จัดเก็บในที่เหมาะสม: อุปกรณ์ที่เป็นแก้วหรือเซรามิกควรเก็บในที่ที่ปลอดภัยจากการกระแทกและแตกหัก
– ปิดฝาอุปกรณ์: เมื่อไม่ได้ใช้งาน ควรปิดฝาอุปกรณ์เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าไป
3. การตรวจสอบและบำรุงรักษา:
– ตรวจสอบความเสียหาย: ตรวจสอบอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอว่ามีรอยแตกหรือชำรุดหรือไม่
– บำรุงรักษาตามคำแนะนำผู้ผลิต: ปฏิบัติตามคำแนะนำในการบำรุงรักษาที่ระบุในคู่มือของผู้ผลิต
4. การใช้งานอย่างระมัดระวัง:
– ปฏิบัติตามวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง: ใช้อุปกรณ์ตามวิธีการที่ระบุไว้ในคู่มือเพื่อป้องกันการเสียหาย
– หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่ผิดประเภท: ไม่ควรใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมกับสารเคมีหรือการทดลอง
5. การป้องกัน:
– สวมอุปกรณ์ป้องกัน: เช่น ถุงมือ แว่นตา และเสื้อคลุมห้องปฏิบัติการ เพื่อป้องกันตนเองและอุปกรณ์จากสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย
การดูแลรักษาอุปกรณ์วิทยาศาสตร์อย่างถูกวิธีจะช่วยให้การทดลองและการวิจัยเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย
เวิลด์เคมีคอล กรุ๊ป ผู้นําด้านการจําหน่ายและนำเข้า สารเคมีภัณฑ์ เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ และ ขนาดย่อม ประเภท เคมีอุตสาหกรรม เคมีทําความสะอาด เคมีสระว่ายน้ำ เคมีบำบัดน้ำ เคมีงานปั้น-งานหล่อ เคมีอาหาร กลิ่น สารสกัด สี น้ำหอม เคมีเครื่องสำอาง อาทิ กลีเซอรีน โซดาไฟเกล็ด โซเดียมเมต้าไบซัลไฟต์ เอทิลแอลกอฮอล์ ฯลฯ สารพัดด้านเคมี เวิลด์เคมิคอล กรุ๊ป พร้อมให้บริการ และให้ปรึกษากับลูกค้าทุกท่าน
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line ID : @worldchemical
Facebook : https://www.facebook.com/chemical.chiangmai
เว็บไซต์ : www.worldchemical.co.th
โทร : 053 204 446-7