เคมีทำความสะอาดอุตสาหกรรมแบบไหนเหมาะกับโรงงานคุณ?

สารเคมีทำความสะอาดอุตสาหกรรมแบบไหนเหมาะกับโรงงานคุณ? ในยุคปัจจุบันที่อุตสาหกรรมเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ความสำคัญของการรักษาความสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรมไม่สามารถมองข้ามได้ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตอาหาร โรงงานเคมี หรือโรงงานการผลิตในสาขาอื่นๆ ความสะอาดในโรงงานนั้นไม่เพียงแค่ส่งผลต่อสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน แต่ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการผลิต คุณภาพของสินค้าสำเร็จรูป และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในตลาดที่เต็มไปด้วยคู่แข่ง

เมื่อเราพูดถึงการรักษาความสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรม หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการทำความสะอาดคือ เคมีทำความสะอาดอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษามาตรฐานความสะอาดในโรงงานประเภทต่างๆ สารเคมีเหล่านี้มีหลายประเภทที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการขจัดคราบสกปรกต่างๆ เช่น คราบน้ำมัน คราบไขมัน สนิม หรือแม้กระทั่งเชื้อโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อกระบวนการผลิต

แต่การเลือกใช้เคมีทำความสะอาดที่เหมาะสมกับลักษณะของโรงงานแต่ละแห่งนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากสารเคมีแต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกสารเคมีที่เหมาะสมจึงเป็นการตัดสินใจที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นประเภทของคราบที่ต้องการขจัด วัสดุที่ต้องทำความสะอาด การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม และความสะดวกในการใช้งาน

ในบทความนี้ เราจะสำรวจประเภทต่างๆ ของเคมีทำความสะอาดอุตสาหกรรม รวมถึงวิธีการเลือกสารเคมีที่เหมาะสมกับลักษณะการทำงานในโรงงานประเภทต่างๆ ตลอดจนข้อดีและข้อจำกัดของสารเคมีแต่ละชนิด เพื่อช่วยให้เจ้าของโรงงานและผู้จัดการสามารถเลือกใช้เคมีทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

การเลือกใช้เคมีทำความสะอาดที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้การทำงานในโรงงานสะอาดและปลอดภัยมากขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้สารเคมีที่ไม่เหมาะสม รวมถึงสามารถช่วยประหยัดต้นทุนในการบำรุงรักษาเครื่องจักรและเพิ่มอายุการใช้งานของอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการผลิต

อีกทั้งเคมีทำความสะอาดอุตสาหกรรมบางชนิดยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมสร้างคุณภาพผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหาร ยา หรือเครื่องสำอางที่ต้องการการควบคุมความสะอาดในระดับสูง สารเคมีบางชนิดไม่เพียงแค่ทำความสะอาดแต่ยังสามารถฆ่าเชื้อโรคหรือป้องกันการปนเปื้อนได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การใช้งานเคมีทำความสะอาดเหล่านี้ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงานในโรงงาน การฝึกอบรมการใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและการเก็บรักษาสารเคมีให้ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้

ในส่วนถัดไป เราจะไปดูกันว่ามีเคมีทำความสะอาดประเภทใดบ้างที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรม รวมถึงวิธีการเลือกใช้ที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยให้การทำความสะอาดในโรงงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

 

ความสำคัญของการทำความสะอาดในอุตสาหกรรม

 

1. ความสำคัญของการทำความสะอาดในอุตสาหกรรม

การทำความสะอาดในอุตสาหกรรมไม่เพียงแต่เป็นการรักษาความสะอาดของสภาพแวดล้อมภายในโรงงานเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อประสิทธิภาพการผลิต, ความปลอดภัยในการทำงาน และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมา การทำความสะอาดจึงเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถละเลยได้ในทุกโรงงานอุตสาหกรรม ดังนั้น ความสำคัญของการทำความสะอาดในอุตสาหกรรมจึงสามารถแบ่งออกเป็นหลายมิติที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานในโรงงานดังนี้:

สุขอนามัยและความปลอดภัย: การปนเปื้อนในสายการผลิตอาจส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์

ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหาร เครื่องดื่ม หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น ยา เครื่องสำอาง หรือเวชภัณฑ์ ความสะอาดถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากการปนเปื้อนที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตสามารถส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพต่ำและไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด การปนเปื้อนอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น การสะสมของคราบไขมัน, น้ำมัน, ฝุ่น หรือเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งหากไม่ทำความสะอาดอย่างถูกต้องและทันเวลาอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนที่ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ไม่ปลอดภัยหรือไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ

ตัวอย่างเช่นในอุตสาหกรรมอาหาร การปนเปื้อนของแบคทีเรียหรือเชื้อโรคจากการสัมผัสเครื่องจักรหรือพื้นผิวที่ไม่ได้ทำความสะอาดสามารถทำให้เกิดโรคต่างๆ ในผู้บริโภค ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียกร้องความเสียหายจากผู้บริโภคและทำให้บริษัทสูญเสียความน่าเชื่อถือในตลาดได้ นอกจากนี้ การปนเปื้อนยังอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขอนามัย ซึ่งอาจทำให้โรงงานไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐานความปลอดภัยหรือระบบตรวจสอบคุณภาพต่างๆ เช่น GMP (Good Manufacturing Practices) หรือ HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Points)

การยืดอายุเครื่องจักร: การสะสมของสิ่งสกปรกอาจทำให้เครื่องจักรเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

ในโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรในการผลิต การทำความสะอาดเครื่องจักรและอุปกรณ์ถือเป็นการบำรุงรักษาที่สำคัญเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม การสะสมของคราบสกปรกจากน้ำมัน, ฝุ่น หรือสารเคมีต่างๆ อาจทำให้เครื่องจักรเกิดการเสียดสีหรือการขัดขวางการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้เครื่องจักรเสื่อมสภาพเร็วขึ้น หรือเกิดความเสียหายที่ไม่คาดคิด การทำความสะอาดที่ดีและสม่ำเสมอสามารถช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้

ตัวอย่างเช่น ในโรงงานที่มีการใช้งานเครื่องจักรกลหนักหรือเครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปอาหาร เครื่องจักรเหล่านี้จะต้องได้รับการทำความสะอาดเพื่อขจัดคราบน้ำมันหรือสิ่งสกปรกที่สะสมจากกระบวนการผลิต หากไม่ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เครื่องจักรอาจเกิดปัญหาในการทำงาน เช่น ความร้อนสูงเกินไปเนื่องจากคราบสกปรกที่สะสมในตัวเครื่อง หรือชิ้นส่วนบางอย่างอาจเกิดการเสื่อมสภาพหรือเสียหายได้เร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนในการซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นและอาจทำให้กระบวนการผลิตหยุดชะงัก

การทำความสะอาดเครื่องจักรยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร ซึ่งจะส่งผลให้โรงงานสามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณที่สูงขึ้นและมีคุณภาพที่ดีกว่า การบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการทำความสะอาดและการตรวจสอบเครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เครื่องจักรที่มีปัญหาหรือเสื่อมสภาพ

การรักษามาตรฐาน: การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย

การรักษามาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานที่ผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ที่ต้องมีการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด การทำความสะอาดภายในโรงงานช่วยให้โรงงานสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐานการปฏิบัติงานที่ดี (GMP) หรือข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่กำหนดโดยหน่วยงานภาครัฐ

หากโรงงานไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยหรือมาตรฐานต่างๆ อาจทำให้บริษัทถูกปรับหรือสูญเสียใบอนุญาตการผลิต รวมทั้งอาจถูกฟ้องร้องจากผู้บริโภคหรือลูกค้าสำหรับการผลิตสินค้าที่ไม่ปลอดภัย การรักษาความสะอาดอย่างเหมาะสมในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตจึงช่วยให้โรงงานสามารถดำเนินงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีความน่าเชื่อถือในตลาด

ตัวอย่างเช่น ในโรงงานผลิตอาหาร การทำความสะอาดอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน HACCP จะช่วยลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนในอาหารและทำให้สามารถผลิตสินค้าที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคได้ โรงงานที่ไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้อาจพบกับปัญหาการยกเลิกใบอนุญาตการผลิตหรือถูกปรับค่าปรับจำนวนมากจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

ประเภทของเคมีทำความสะอาดในอุตสาหกรรม

 

2. ประเภทของเคมีทำความสะอาดในอุตสาหกรรม

การเลือกใช้เคมีทำความสะอาดในอุตสาหกรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการทำงานและความปลอดภัยของทั้งผลิตภัณฑ์และพนักงานที่ใช้เครื่องจักรในการผลิต ซึ่งเคมีทำความสะอาดมีหลากหลายประเภทที่ถูกออกแบบมาเพื่อขจัดคราบหรือสิ่งสกปรกที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้สารทำความสะอาดที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดเวลาที่เสียไปในการทำความสะอาด และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรได้อีกด้วย โดยเคมีทำความสะอาดในอุตสาหกรรมสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้:

สารทำความสะอาดที่เป็นด่าง (Alkaline Cleaners)

สารทำความสะอาดที่มีความเป็นด่างมักจะใช้ในการขจัดคราบน้ำมัน ไขมัน และสิ่งสกปรกที่มีความเหนียวหรือหนืด ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการละลายสารมันและไขมันได้ดี โดยมักใช้ในกระบวนการทำความสะอาดที่ต้องการกำจัดคราบน้ำมันหรือสารอินทรีย์ที่ยึดติดกับพื้นผิวอย่างแน่นหนา

ตัวอย่างสารทำความสะอาดที่เป็นด่าง:

    • โซดาไฟ (Caustic Soda): ใช้ในการขจัดคราบไขมันและน้ำมันในโรงงานต่างๆ เช่น โรงงานแปรรูปอาหาร โรงงานน้ำมัน หรือโรงงานผลิตสบู่และเครื่องสำอาง
    • โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (Potassium Hydroxide): ใช้ในกระบวนการทำความสะอาดเครื่องจักรในโรงงานโลหะ และยังสามารถใช้ทำความสะอาดในอุตสาหกรรมเคมีบางประเภท

เหมาะสำหรับ:

    • โรงงานแปรรูปอาหาร: เนื่องจากคราบน้ำมันหรือไขมันมักพบในกระบวนการแปรรูปอาหาร การใช้สารเคมีที่เป็นด่างจะช่วยขจัดสิ่งเหล่านี้ออกจากเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ได้
    • โรงงานโลหะ: ใช้สำหรับขจัดคราบน้ำมันและสิ่งสกปรกในอุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตโลหะ โดยสารที่มีด่างช่วยให้ขจัดคราบน้ำมันที่สะสมจากกระบวนการผลิตได้ดี

สารทำความสะอาดที่เป็นกรด (Acid Cleaners)

สารทำความสะอาดที่เป็นกรดมักจะใช้ในการขจัดคราบสนิม คราบแร่ หรือคราบหินปูน โดยกรดสามารถละลายแร่ธาตุที่เกาะอยู่บนพื้นผิวได้เป็นอย่างดี สารเคมีประเภทนี้จึงเหมาะสมกับการทำความสะอาดที่ต้องการกำจัดคราบที่ยากต่อการขจัดหรือที่เกิดจากการสะสมของแร่

ตัวอย่างสารทำความสะอาดที่เป็นกรด:

    • กรดฟอสฟอริก (Phosphoric Acid): ใช้ในการขจัดคราบสนิมและคราบแร่ในโรงงานแปรรูปโลหะและในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องการทำความสะอาดพื้นผิวโลหะ
    • กรดซัลฟิวริก (Sulfuric Acid): ใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำมันหรือสารเคมีต่างๆ โดยมีคุณสมบัติในการละลายคราบแร่และสารเคมีที่ยึดติดได้ดี

เหมาะสำหรับ:

    • โรงงานแปรรูปโลหะ: เนื่องจากคราบสนิมและคราบแร่เป็นปัญหาหลักที่พบในอุตสาหกรรมนี้ การใช้สารทำความสะอาดที่เป็นกรดสามารถช่วยขจัดคราบเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • อุตสาหกรรมปิโตรเลียม: สารทำความสะอาดที่เป็นกรดสามารถใช้ทำความสะอาดในกระบวนการผลิตน้ำมันหรือสารเคมีต่างๆ ที่อาจมีการสะสมของแร่ธาตุและคราบที่ยากต่อการขจัด

สารทำความสะอาดที่เป็นกลาง (Neutral Cleaners)

สารทำความสะอาดที่เป็นกลางมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดที่ไม่ทำลายพื้นผิวและไม่ส่งผลกระทบต่อวัสดุที่ใช้ผลิตภัณฑ์ การใช้งานสารประเภทนี้จะเหมาะสมในกระบวนการทำความสะอาดที่ต้องการการดูแลรักษาผิววัสดุให้คงทนหรือไม่ต้องการผลกระทบจากความเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป

ตัวอย่างสารทำความสะอาดที่เป็นกลาง:

    • น้ำยาล้างจาน: ใช้สำหรับการทำความสะอาดเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น แก้ว, จาน, หรือภาชนะต่างๆ ในโรงงานผลิตอาหาร
    • น้ำสบู่: เหมาะสำหรับการทำความสะอาดพื้นผิวทั่วไปที่ไม่ต้องการสารเคมีที่มีความรุนแรง

เหมาะสำหรับ:

    • โรงงานผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค: เช่น โรงงานผลิตเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด การใช้สารทำความสะอาดที่เป็นกลางจะช่วยรักษาคุณภาพของพื้นผิวอุปกรณ์และเครื่องมือในกระบวนการผลิต

สารทำความสะอาดสูตรเฉพาะ (Specialty Cleaners)

สารทำความสะอาดสูตรเฉพาะถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานเฉพาะในงานที่มีความซับซ้อนหรือสิ่งสกปรกที่ต้องการการดูแลพิเศษ ตัวอย่างเช่น การขจัดคราบน้ำมันจากเครื่องจักรที่มีความซับซ้อน หรือการทำความสะอาดภายในระบบที่ไม่สามารถถอดชิ้นส่วนได้

ตัวอย่างสารทำความสะอาดสูตรเฉพาะ:

    • น้ำยาทำความสะอาดระบบ CIP (Clean-in-Place): เป็นสารเคมีที่ใช้ทำความสะอาดระบบที่ไม่สามารถถอดออกมาล้างได้ เช่น ท่อหรือถังในระบบการผลิต
    • น้ำยาขจัดคราบน้ำมัน: ใช้ในการทำความสะอาดเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ในอุตสาหกรรมที่มีการใช้งานน้ำมันหรือสารเคมีต่างๆ ที่มีความเหนียวและยึดติดกับพื้นผิว

เหมาะสำหรับ:

    • โรงงานที่ใช้เครื่องจักรหนัก: เช่น โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรกลหนักหรือเครื่องจักรที่มีระบบซับซ้อน การเลือกใช้สารเคมีสูตรเฉพาะสามารถช่วยในการทำความสะอาดระบบและเครื่องจักรได้โดยไม่ต้องถอดชิ้นส่วน
    • อุตสาหกรรมที่มีการใช้น้ำมันหรือสารเคมี: เช่น อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรหรือยานยนต์ที่มักต้องทำความสะอาดคราบน้ำมัน

 

วิธีการเลือกสารเคมีทำความสะอาดที่เหมาะสม
วิธีการเลือกเคมีทำความสะอาดที่เหมาะสม

 

3. วิธีการเลือกเคมีทำความสะอาดที่เหมาะสม

การเลือกเคมีทำความสะอาดที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำความสะอาด ลดปัญหาความเสี่ยงจากการใช้สารเคมีที่ไม่เหมาะสม และยังคงรักษาความปลอดภัยทั้งกับพนักงานและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกเคมีทำความสะอาดที่ถูกต้องควรพิจารณาหลายปัจจัย เช่น ลักษณะของคราบที่ต้องการขจัด, ประเภทของพื้นผิวที่ต้องทำความสะอาด, ความปลอดภัยของพนักงาน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

3.1. วิเคราะห์ลักษณะของคราบสกปรก

สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาในการเลือกเคมีทำความสะอาด คือ ลักษณะของคราบสกปรก ที่ต้องการขจัด โดยสามารถแบ่งประเภทของคราบต่างๆ ที่พบในโรงงานอุตสาหกรรมออกเป็นหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะต้องใช้สารเคมีที่เหมาะสม:

    • คราบน้ำมันและไขมัน:

      • สำหรับคราบที่เกิดจากน้ำมันหรือไขมัน โดยทั่วไปจะต้องใช้ สารเคมีที่เป็นด่าง เช่น โซดาไฟ (Caustic Soda) หรือโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (Potassium Hydroxide) ซึ่งมีคุณสมบัติในการละลายและขจัดคราบน้ำมันหรือไขมันได้ดี
      • การเลือกสารทำความสะอาดที่เป็นด่างจะช่วยให้การทำความสะอาดในกระบวนการแปรรูปอาหาร หรือโรงงานที่มีการใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบมีประสิทธิภาพสูง
    • คราบสนิมและแร่ธาตุ:

      • ในกรณีที่คราบที่ต้องการขจัดมีลักษณะเป็น สนิม หรือแร่ธาตุ การใช้ สารเคมีที่เป็นกรด เช่น กรดฟอสฟอริก (Phosphoric Acid) หรือกรดซัลฟิวริก (Sulfuric Acid) จะมีประสิทธิภาพในการขจัดคราบเหล่านี้ได้ดีกว่า
      • สารกรดช่วยให้การทำความสะอาดเครื่องจักรในอุตสาหกรรมโลหะ หรืออุตสาหกรรมที่มีการผลิตน้ำมันมีความง่ายและรวดเร็ว
    • คราบทั่วไป:

      • สำหรับคราบทั่วไปที่ไม่ได้เกิดจากน้ำมันหรือสนิม ควรใช้ สารเคมีที่เป็นกลาง เช่น น้ำยาล้างจานหรือน้ำสบู่ ซึ่งจะมีความอ่อนโยนต่อพื้นผิวและเหมาะสำหรับการทำความสะอาดอุปกรณ์ในโรงงานที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคหรือเครื่องมือที่มีการใช้งานเป็นประจำ

3.2. พิจารณาวัสดุพื้นผิว

วัสดุพื้นผิว ที่ต้องการทำความสะอาดเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการเลือกเคมีทำความสะอาดที่เหมาะสม เนื่องจากสารบางชนิดอาจทำให้พื้นผิวของวัสดุเกิดความเสียหายได้ เช่น

    • พื้นผิวโลหะ:

      • เมื่อทำความสะอาดพื้นผิวโลหะ ควรระมัดระวังในการใช้สารเคมีที่มีความเป็นกรดสูง เนื่องจากกรดอาจทำให้โลหะเกิดการกัดกร่อนหรือเสียหายได้
      • ในการทำความสะอาดโลหะจึงควรเลือกใช้สารเคมีที่ไม่เป็นกรดมากเกินไป เช่น สารเคมีที่มีความเป็นด่างที่เหมาะสมกับการขจัดคราบน้ำมันและไขมันบนโลหะ
    • พื้นผิวพลาสติก:

      • การทำความสะอาดพื้นผิวพลาสติกควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่มี ตัวทำละลายรุนแรง เพราะอาจทำให้พลาสติกเสื่อมสภาพหรือแตกหักได้
      • ควรเลือกสารทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยนหรือสารที่เหมาะสมกับการทำความสะอาดพลาสติกโดยเฉพาะ เช่น น้ำยาทำความสะอาดที่เป็นกลางหรือที่ออกแบบมาสำหรับพลาสติกโดยเฉพาะ

3.3. ความปลอดภัยของพนักงาน

ความปลอดภัยของพนักงานในการใช้งานเคมีทำความสะอาดเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยในการเลือกเคมีทำความสะอาดควรคำนึงถึง:

    • เลือกสารเคมีที่มี มาตรฐานความปลอดภัย และมี ข้อมูล SDS (Safety Data Sheet) ที่ชัดเจน เพื่อให้พนักงานสามารถทราบถึงวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง รวมถึงการจัดเก็บและการจัดการหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
    • ควรเลือกสารเคมีที่มี ความเป็นพิษต่ำ และสามารถใช้งานได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อพนักงาน เช่น สารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและทางเดินหายใจ

3.4. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การเลือกเคมีทำความสะอาดควรคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อ สิ่งแวดล้อม โดยควรเลือกสารเคมีที่:

    • สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Biodegradable): ซึ่งหมายความว่าเมื่อสารเคมีถูกทิ้งไปในสิ่งแวดล้อม จะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ตามธรรมชาติและไม่สะสมในสิ่งแวดล้อม
    • ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่มีส่วนผสมของสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมลพิษในน้ำและดิน เช่น สารเคมีที่มีส่วนผสมของฟอสฟอรัส หรือสารที่มีการสะสมในระบบนิเวศ

 

ขั้นตอนการใช้สารเคมีทำความสะอาดในโรงงาน
ขั้นตอนการใช้เคมีทำความสะอาดในโรงงาน

 

4. ขั้นตอนการใช้เคมีทำความสะอาดในโรงงาน

การใช้เคมีทำความสะอาดในโรงงานต้องมีขั้นตอนที่ชัดเจนเพื่อให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพสูงสุด และเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับทั้งผู้ปฏิบัติงานและสิ่งแวดล้อม การใช้สคมีทำความสะอาดไม่ใช่เพียงแค่การเลือกสารเคมีที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังต้องมีการเตรียมการอย่างระมัดระวังในการดำเนินการแต่ละขั้นตอน โดยประกอบด้วยขั้นตอนหลักดังนี้:

4.1. การเตรียมพื้นที่

ขั้นตอนแรกในการใช้เคมีทำความสะอาดคือการเตรียมพื้นที่ที่ต้องการทำความสะอาดให้พร้อม:

    • เก็บของที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ทำความสะอาด:

      • ก่อนเริ่มการทำความสะอาด ควรเก็บหรือย้ายอุปกรณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ทำความสะอาด เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารเคมีและป้องกันการปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นกับสินค้าและเครื่องมือที่ไม่เกี่ยวข้อง
      • การทำความสะอาดในพื้นที่ที่ไม่รกจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดระยะเวลาในการทำงาน
    • สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE):

      • ก่อนเริ่มการทำความสะอาด ควรสวม อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เช่น ถุงมือ, หน้ากาก, แว่นตานิรภัย, เสื้อผ้าที่ป้องกันสารเคมี รวมถึงรองเท้าบู๊ตที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสัมผัสกับสารเคมีและลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ
      • การเลือกใช้ PPE ที่เหมาะสมกับชนิดของสารเคมีที่ใช้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันอันตรายจากการสัมผัส

4.2. การผสมสารเคมี

ในกรณีที่ต้องผสมสารเคมีเพื่อทำความสะอาด ควรปฏิบัติตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในเอกสารกำกับหรือคู่มือผลิตภัณฑ์:

    • ผสมตามสัดส่วนที่แนะนำในเอกสารกำกับ:

      • การผสมสารเคมีต้องทำตามสัดส่วนที่ระบุในเอกสารกำกับอย่างเคร่งครัด เพราะการผสมสารเคมีผิดสัดส่วนอาจทำให้เกิดความไม่ปลอดภัย หรือสารเคมีอาจไม่ทำงานตามที่คาดหวัง
      • ควรใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการผสมสารเคมี เช่น ถังผสมที่สะอาดและไม่ปนเปื้อนสารเคมีอื่นๆ
    • ควรเตรียมการทำงานในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศที่ดี:

      • หากสารเคมีที่ใช้มีกลิ่นฉุนหรืออาจก่อให้เกิดไอระเหยที่เป็นอันตราย ควรดำเนินการในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศดี เช่น ห้องที่มีพัดลมหรือพื้นที่ที่เปิดโล่ง

4.3. การทำความสะอาด

เมื่อผสมสารเคมีตามสัดส่วนที่แนะนำแล้ว ก็ถึงเวลาทำความสะอาด:

    • ทิ้งสารเคมีบนพื้นผิวตามเวลาที่กำหนดเพื่อให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ:

      • หลังจากนำสารเคมีมาประยุกต์ใช้กับพื้นผิว ควรทิ้งสารเคมีบนพื้นผิวตามระยะเวลาที่กำหนดในเอกสารกำกับ โดยอาจจะต้องทิ้งไว้สักระยะหนึ่งเพื่อให้สารเคมีมีโอกาสทำงานและขจัดคราบสกปรกได้อย่างเต็มที่
      • การทิ้งสารเคมีในระยะเวลาที่พอเหมาะจะช่วยให้สารเคมีทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด
    • ไม่ควรปล่อยให้สารเคมีแห้งหรือค้างอยู่บนพื้นผิวเป็นเวลานานเกินไป เพราะอาจทำให้สารเคมีเกิดผลข้างเคียงกับวัสดุที่ทำความสะอาดและทำให้ต้องใช้ความพยายามในการทำความสะอาดซ้ำ

4.4. การล้างน้ำและการตรวจสอบ

ขั้นตอนสุดท้ายของการใช้เคมีทำความสะอาดคือการล้างและการตรวจสอบความสะอาดของพื้นผิว:

    • ล้างน้ำให้สะอาด:

      • หลังจากที่ทิ้งสารเคมีบนพื้นผิวตามเวลาที่กำหนดแล้ว ควร ล้างน้ำให้สะอาด เพื่อล้างสารเคมีออกจากพื้นผิวให้หมด โดยใช้น้ำสะอาดจำนวนมากเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารเคมีหลงเหลือ
      • การล้างน้ำอย่างเหมาะสมจะช่วยป้องกันการเกิดปัญหาคราบเคมีที่อาจทำให้การทำความสะอาดไม่สมบูรณ์
    • ตรวจสอบว่าพื้นผิวไม่มีคราบเคมีเหลืออยู่:

      • หลังจากการล้างน้ำเสร็จสิ้น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าพื้นผิวที่ทำความสะอาดไม่มีสารเคมีเหลือหลงเหลืออยู่ เพราะสารเคมีที่ตกค้างอาจส่งผลเสียต่อวัสดุหรือสินค้าในกระบวนการผลิต
      • หากยังพบสารเคมีที่ตกค้าง ควรล้างซ้ำจนกว่าจะมั่นใจได้ว่าพื้นผิวสะอาดและปลอดภัย

 

ข้อควรระวังในการใช้สารเคมี
ข้อควรระวังในการใช้สารเคมี

 

5. ข้อควรระวังในการใช้สารเคมี

การใช้สารเคมีในการทำความสะอาดในโรงงานต้องมีความระมัดระวังอย่างสูง เนื่องจากสารเคมีบางชนิดอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ หรือเกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม หากไม่ใช้อย่างถูกต้อง ข้อควรระวังในการใช้สารเคมีมีดังนี้:

5.1. ห้ามผสมสารเคมีต่างประเภทกัน

การผสมสารเคมีที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่อันตราย โดยเฉพาะสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนหรือสารเคมีที่สามารถเกิดการระเบิดหรือปล่อยก๊าซพิษได้ เช่น:

    • สารเคมีที่เป็นด่าง (Alkaline) กับสารเคมีที่เป็นกรด (Acid):

      • การผสมสารเคมีที่มีลักษณะเป็นกรดกับสารเคมีที่เป็นด่างอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรง โดยเฉพาะเมื่อมีการปล่อยก๊าซพิษหรือฟองที่อาจระเบิดได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานและสุขภาพของผู้อื่นในบริเวณนั้น
      • ตัวอย่างเช่น การผสมโซดาไฟ (Caustic Soda) กับกรดจะทำให้เกิดการปล่อยก๊าซที่มีอันตรายสูง เช่น ก๊าซคลอรีน (Chlorine Gas)
    • สารเคมีที่มีส่วนผสมของตัวทำละลายกับสารเคมีประเภทน้ำ:

      • หลีกเลี่ยงการผสมสารเคมีประเภทตัวทำละลาย (Solvent) กับสารเคมีประเภทน้ำหรือสารเคมีที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก เพราะสารเคมีบางประเภทอาจทำปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดอันตรายทั้งในแง่ของความร้อนและการปล่อยก๊าซพิษ
      • ควรอ่านฉลากและคู่มือของแต่ละสารเคมีให้ละเอียดก่อนการใช้งาน เพื่อหลีกเลี่ยงการผสมที่ไม่เหมาะสม

5.2. เก็บสารเคมีในที่ที่ปลอดภัยและห่างจากมือเด็ก

การเก็บสารเคมีให้ปลอดภัยเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญในการใช้งานสารเคมี เนื่องจากหากสารเคมีถูกเก็บในที่ที่ไม่ปลอดภัยอาจเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บจากการสัมผัสได้:

    • เก็บสารเคมีในที่ที่ปลอดภัย:
      • สารเคมีควรเก็บในพื้นที่ที่มิดชิดและไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายโดยบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น พื้นที่ที่มีการติดตั้งล็อคหรือประตูที่แข็งแรงเพื่อป้องกันการเข้าถึงจากบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต
      • ควรเก็บสารเคมีในตู้เก็บที่ทนทานและมีการระบายอากาศที่ดี เพื่อป้องกันการสะสมของก๊าซหรือกลิ่นที่อาจเป็นอันตราย
      • พื้นที่เก็บสารเคมีควรแยกจากพื้นที่ใช้งานอื่นๆ และต้องมีสัญลักษณ์ที่ชัดเจนเพื่อเตือนให้ระมัดระวัง
    • ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง:
      • การเก็บสารเคมีในที่ที่เด็กและสัตว์เลี้ยงไม่สามารถเข้าถึงได้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเด็กหรือสัตว์เลี้ยงอาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากการสัมผัสหรือกลืนสารเคมี
      • ควรติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ล็อคที่แข็งแรง หรือที่ปิดผนึกเพื่อป้องกันการเข้าถึงสารเคมี

5.3. ตรวจสอบสภาพการเก็บรักษาตามที่ระบุในฉลาก

สารเคมีแต่ละประเภทมีข้อกำหนดในการเก็บรักษาที่แตกต่างกัน ซึ่งควรปฏิบัติตามคำแนะนำที่ระบุในฉลากหรือคู่มือการใช้สารเคมี:

    • ตรวจสอบสภาพการเก็บรักษา:

      • สารเคมีบางประเภทอาจต้องการอุณหภูมิในการเก็บรักษาที่เฉพาะเจาะจง เช่น ควรเก็บในที่เย็นหรือที่ไม่โดนแสงแดดโดยตรง เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของสารเคมี
      • ควรตรวจสอบวันที่หมดอายุหรือวันที่ควรใช้สารเคมีให้ครบถ้วนและไม่ใช้สารเคมีที่หมดอายุแล้ว เพราะอาจทำให้สารเคมีไม่ทำงานหรือเกิดปฏิกิริยาที่ไม่คาดคิดได้
    • การเก็บในภาชนะที่เหมาะสม:

      • สารเคมีควรเก็บในภาชนะที่มีฉลากชัดเจนและไม่แตกหักหรือชำรุด ภาชนะต้องทนทานต่อสารเคมีที่เก็บในนั้น และมีการป้องกันการรั่วไหลหรือการระเหยที่อาจเกิดขึ้น
    • การเก็บรักษาในสภาพที่ปลอดภัย:

      • หากสารเคมีมีคุณสมบัติที่ไวไฟหรือเป็นสารเคมีที่มีความเสี่ยงต่อการระเบิด ควรเก็บในพื้นที่ที่มีการป้องกันไฟหรือในพื้นที่ที่มีระบบระบายอากาศที่ดี เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการสะสมของก๊าซ

6. ตัวอย่างการเลือกเคมีทำความสะอาดในอุตสาหกรรม

การเลือกเคมีทำความสะอาดในแต่ละอุตสาหกรรมขึ้นอยู่กับลักษณะของคราบสกปรกที่ต้องการกำจัด และวัสดุที่ใช้ในกระบวนการผลิต ต่อไปนี้คือตัวอย่างการเลือกเคมีทำความสะอาดในอุตสาหกรรมต่างๆ:

6.1. โรงงานอาหาร

ในโรงงานอาหาร ความสะอาดและการฆ่าเชื้อโรคเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการปนเปื้อนอาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภคและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การเลือกเคมีทำความสะอาดในโรงงานอาหารจะเน้นการใช้สารเคมีที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

    • สารเคมีที่เป็นกลาง (Neutral Cleaners):

      • สารทำความสะอาดที่เป็นกลางจะอ่อนโยนต่อพื้นผิว และสามารถใช้ทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสกับอาหารได้ดี เช่น น้ำยาล้างจานที่ไม่มีสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
      • น้ำยาทำความสะอาดประเภทนี้สามารถใช้ในเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ในโรงงานผลิตอาหาร โดยไม่ทิ้งสารเคมีที่เป็นอันตราย
      • ตัวอย่าง: น้ำยาล้างจาน (Dishwashing Liquids), น้ำยาทำความสะอาดทั่วไปที่มีความเป็นกลาง เช่น น้ำสบู่
    • สารที่สามารถฆ่าเชื้อโรค (Sanitizers & Disinfectants):

      • ในการฆ่าเชื้อโรคจากอุปกรณ์การผลิตอาหารหรือพื้นผิวที่สัมผัสกับอาหาร เช่น บริเวณสายพานลำเลียง หรือภาชนะเก็บอาหาร จำเป็นต้องใช้สารเคมีที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค
      • ตัวอย่าง: โซเดียมไฮโปคลอไรท์ (Sodium Hypochlorite), กรดแอซิติก (Acetic Acid) ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้อโรคที่มักใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร

6.2. โรงงานปิโตรเคมี

ในโรงงานปิโตรเคมี ซึ่งมีการใช้สารเคมีและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและสารเคมีอื่นๆ การทำความสะอาดเพื่อขจัดคราบน้ำมันและสารเคมีที่มีความหนืดสูงเป็นสิ่งที่ท้าทาย การเลือกเคมีทำความสะอาดต้องคำนึงถึงความสามารถในการขจัดคราบน้ำมันและการไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อวัสดุหรือเครื่องจักร:

    • สารทำความสะอาดที่สามารถขจัดคราบน้ำมันได้ (Oil Cleaners):

      • สารทำความสะอาดประเภทนี้มีคุณสมบัติในการละลายและขจัดคราบน้ำมันและไขมันที่สะสมในเครื่องจักรหรือพื้นผิวในกระบวนการผลิต
      • การเลือกสารเคมีที่เหมาะสมกับการขจัดคราบน้ำมันจะช่วยให้เครื่องจักรทำงานได้มีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน
      • ตัวอย่าง: น้ำยาล้างคราบน้ำมันที่มีสารทำละลาย (Solvent-based Cleaners), น้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของอัลคาลีน (Alkaline Cleaners)
    • สารเคมีที่เป็นด่าง (Alkaline Cleaners):

      • สารที่เป็นด่างสามารถใช้ในการขจัดคราบไขมันและน้ำมันที่มีความหนืดสูง ซึ่งเป็นลักษณะของคราบที่พบบ่อยในโรงงานปิโตรเคมี
      • สารเหล่านี้ทำงานโดยการละลายคราบน้ำมันและไขมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการสัมผัสกับน้ำมันเครื่อง หรือเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิต
      • ตัวอย่าง: โซดาไฟ (Caustic Soda), โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (Potassium Hydroxide)

6.3. โรงงานโลหะ

การทำความสะอาดในโรงงานโลหะต้องใช้สารเคมีที่สามารถขจัดคราบสนิม คราบแร่ธาตุ และคราบอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตเหล็กหรือโลหะอื่นๆ การเลือกสารเคมีที่เหมาะสมจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงความสามารถในการขจัดคราบสนิมและการไม่ทำลายพื้นผิวโลหะ:

    • สารทำความสะอาดที่เป็นกรด (Acid Cleaners):

      • สารที่เป็นกรดจะมีประสิทธิภาพสูงในการขจัดคราบสนิมและคราบแร่ธาตุจากพื้นผิวโลหะ ซึ่งเหมาะสมในการทำความสะอาดอุปกรณ์และเครื่องจักรในโรงงานที่เกี่ยวข้องกับโลหะ
      • ตัวอย่าง: กรดฟอสฟอริก (Phosphoric Acid), กรดซัลฟิวริก (Sulfuric Acid)
    • สารเคมีที่สามารถขจัดคราบสนิม (Rust Removers):

      • สารเคมีประเภทนี้ช่วยในการขจัดคราบสนิมที่สะสมบนพื้นผิวโลหะ เช่น เหล็กและเหล็กกล้า
      • การเลือกสารเคมีที่เหมาะสมจะช่วยรักษาคุณภาพและอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ในโรงงาน
      • ตัวอย่าง: น้ำยาล้างคราบสนิมที่มีสารกรดที่มีความเข้มข้น

7. การบริหารจัดการสารเคมีในโรงงาน

การบริหารจัดการสารเคมีในโรงงานเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสูง เนื่องจากสารเคมีมีทั้งประโยชน์และอันตราย หากไม่มีการจัดการที่ดี อาจทำให้เกิดอันตรายต่อพนักงานและกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้น การจัดการสารเคมีอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกโรงงาน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

7.1. การอบรมพนักงานเรื่องการใช้สารเคมี

การอบรมพนักงานเกี่ยวกับการใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและปลอดภัยเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในโรงงานที่มีการใช้งานสารเคมีที่มีความเป็นอันตรายต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม การอบรมจะช่วยเพิ่มความเข้าใจและความระมัดระวังในการใช้สารเคมี

ข้อควรอบรมสำหรับพนักงาน:

    • การระบุประเภทของสารเคมี: พนักงานควรได้รับการอบรมเกี่ยวกับสารเคมีที่ใช้ในโรงงาน เช่น สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นด่าง (alkaline), กรด (acid), หรือสารเคมีที่มีความเป็นอันตรายสูง เช่น สารพิษหรือสารที่ติดไฟได้
    • การอ่านและเข้าใจ Safety Data Sheet (SDS): พนักงานควรเรียนรู้วิธีการอ่านฉลากสารเคมีและข้อมูลใน SDS เพื่อเข้าใจเกี่ยวกับอันตรายของสารเคมี, วิธีการจัดการกับสารเคมี, การจัดเก็บ, การใช้, และวิธีการปฐมพยาบาลกรณีเกิดอุบัติเหตุ
    • การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): พนักงานต้องได้รับการอบรมการใช้ PPE ที่เหมาะสม เช่น ถุงมือ, แว่นตา, หน้ากากป้องกันสารเคมี, และเสื้อผ้าที่เหมาะสมในการทำงาน
    • การใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย: อบรมพนักงานเกี่ยวกับวิธีการใช้สารเคมีตามคำแนะนำบนฉลาก, การผสมสารเคมีที่ถูกต้อง, และการใช้สารเคมีในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการใช้งาน
    • การตอบสนองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ: พนักงานต้องได้รับการอบรมเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น การหายใจเอาสารเคมีเข้าไป, การสัมผัสสารเคมี, หรือการเกิดการระเบิดหรือไฟไหม้

การอบรมนี้ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และจัดให้มีการทบทวนความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อให้พนักงานมีความรู้และทักษะที่ทันสมัยอยู่เสมอ

7.2. การติดตั้งระบบกำจัดของเสียทางเคมี

การกำจัดของเสียทางเคมีที่ถูกต้องเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการป้องกันไม่ให้สารเคมีที่เป็นอันตรายไหลลงสู่สิ่งแวดล้อมหรือละเมิดข้อกำหนดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพ การติดตั้งระบบกำจัดของเสียที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในโรงงาน

ระบบกำจัดของเสียทางเคมีที่ควรพิจารณา:

    • การเก็บและแยกประเภทของเสีย: ของเสียที่เกิดจากสารเคมีในโรงงานควรแยกประเภทให้ชัดเจน เช่น ของเสียที่มีลักษณะเป็นกรด, ด่าง, หรือสารที่มีพิษ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อสารเคมีเหล่านี้ถูกเก็บรวมกัน
      • สารเคมีที่มีลักษณะเป็นกรดหรือด่างควรเก็บในภาชนะที่ทนต่อการกัดกร่อน
      • สารเคมีที่มีความเป็นพิษหรือระเหยได้ควรมีระบบการเก็บที่ป้องกันการระเหยและการสัมผัสโดยตรง
    • การจัดการกับของเสียที่มีสารเคมีอันตราย: การกำจัดของเสียที่มีสารเคมีอันตรายต้องเป็นไปตามกฎระเบียบและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง เช่น การนำสารเคมีไปกำจัดในสถานที่ที่ได้รับอนุญาต และการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับของเสียที่ถูกกำจัดเพื่อให้มีการตรวจสอบได้
    • การใช้ระบบการบำบัดน้ำเสีย: หากสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิตถูกปล่อยลงในน้ำเสีย ระบบบำบัดน้ำเสียที่สามารถกรองหรือแยกสารเคมีออกจากน้ำเสียได้จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้
      • ระบบที่ใช้ได้แก่ระบบการกรองน้ำ, การใช้สารเคมีในการทำให้สารเคมีที่เป็นอันตรายตกตะกอน, หรือการบำบัดด้วยกระบวนการทางชีวภาพ (biological treatment)
    • การเผาหรือฝังกลบ: ในกรณีที่ไม่สามารถนำของเสียเคมีไปใช้ซ้ำหรือบำบัดได้ การเผาหรือฝังกลบตามข้อกำหนดของหน่วยงานสิ่งแวดล้อมก็เป็นทางเลือกที่ต้องพิจารณา
    • การติดตั้งระบบบำบัดอากาศ (Air Treatment Systems): สำหรับการจัดการกับสารเคมีที่ระเหยได้ เช่น ไอระเหยจากน้ำมันหรือสารเคมีอื่นๆ ควรมีระบบบำบัดอากาศ เช่น ระบบการดูดอากาศที่มีการกรองหรือใช้ระบบถ่านกัมมันต์ (activated carbon) เพื่อดักจับสารพิษก่อนที่สารเหล่านั้นจะระเหยออกสู่บรรยากาศ

 

 สั่งซื้อ

สนใจติดต่อ เวิลด์เคมีคอล กรุ๊ป ผู้นําด้านการจําหน่ายและนำเข้า สารเคมีภัณฑ์ เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ และ ขนาดย่อม ประเภท เคมีอุตสาหกรรม เคมีทําความสะอาด เคมีสระว่ายน้ำ เคมีบำบัดน้ำ เคมีงานปั้น-งานหล่อ เคมีอาหาร กลิ่น สารสกัด สี น้ำหอม เคมีเครื่องสำอาง อาทิ กลีเซอรีน โซดาไฟเกล็ด โซเดียมเมต้าไบซัลไฟต์ เอทิลแอลกอฮอล์ ฯลฯ สารพัดด้านเคมี เวิลด์เคมิคอล กรุ๊ป พร้อมให้บริการและให้ปรึกษากับลูกค้าทุกท่าน

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line ID : @worldchemical
Facebook : https://www.facebook.com/chemical.chiangmai
เว็บไซต์ : www.worldchemical.co.th
โทร : 053 204 446-7