การทดลองเคมีง่ายๆ สำหรับเด็กในบ้าน

การทดลองเคมีง่ายๆ สำหรับเด็กในบ้าน เคมีไม่เพียงแต่เป็นวิชาที่เรียนในห้องเรียน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งที่มีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราด้วย ซึ่งในปัจจุบันการเรียนรู้เคมีไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังสามารถทำที่บ้านได้ผ่านการทดลองเคมีง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อนและสนุกสำหรับเด็ก ๆ ด้วยการใช้อุปกรณ์ที่หาได้ง่ายในบ้าน การทดลองเคมีเหล่านี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้เด็กเข้าใจวิทยาศาสตร์ในแง่มุมใหม่ แต่ยังเป็นโอกาสในการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาของพวกเขาด้วย

พื้นฐานของเคมีสำหรับเด็ก

พื้นฐานของเคมีสำหรับเด็ก: อะตอมและโมเลกุล

การอธิบายพื้นฐานของเคมีให้เด็ก ๆ เข้าใจง่าย ๆ สามารถเริ่มจากสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน เช่น การเปรียบเทียบสิ่งที่เล็กที่สุดในโลกของเคมีกับสิ่งที่เด็ก ๆ สามารถมองเห็นได้ง่าย โดยใช้คำอธิบายง่าย ๆ และภาพตัวอย่าง

อะตอม: ลูกเล็กๆ ของสาร

อะตอมคือหน่วยที่เล็กที่สุดของสารทุกชนิด แม้ว่าเด็กจะไม่สามารถเห็นอะตอมด้วยตาเปล่าได้ แต่สามารถคิดถึงอะตอมเหมือนกับ “ลูกบอลขนาดเล็ก” ที่อยู่ในทุกๆ สิ่งในโลก เช่น น้ำ, อากาศ, หรือแม้แต่ขนมที่เด็ก ๆ ทาน

  • การเปรียบเทียบ: ถ้าเรานึกถึงตึกใหญ่ๆ เราจะเห็นว่าตึกนั้นประกอบด้วยอิฐหลายๆ ก้อน อิฐแต่ละก้อนก็เหมือนกับอะตอม ซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของสารทุกชนิด
  • คำอธิบาย: อะตอมประกอบด้วยสามส่วนหลักๆ ได้แก่ นิวเคลียส (ที่มีโปรตอนและนิวตรอน) และอิเล็กตรอนที่หมุนรอบนิวเคลียส ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้สารต่างๆ มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน

โมเลกุล: การรวมตัวของอะตอมหลายๆ อะตอม

เมื่ออะตอมหลายๆ ตัวมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเดียวกัน เราจะเรียกสิ่งนั้นว่า “โมเลกุล” ซึ่งสามารถคิดได้ว่าเหมือนกับกลุ่มของลูกบอลหลายๆ ลูกที่มารวมตัวกันเพื่อสร้างสิ่งที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ตัวอย่างเช่น

  • น้ำ: น้ำประกอบด้วยโมเลกุลของน้ำที่ประกอบไปด้วยอะตอมของไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) รวมกัน ทำให้เราเรียกน้ำว่า H₂O ซึ่งหมายถึงในหนึ่งโมเลกุลของน้ำจะมีอะตอมของไฮโดรเจนสองอะตอมและออกซิเจนหนึ่งอะตอม
  • การเปรียบเทียบ: ถ้าเราคิดว่าอะตอมเหมือนกับลูกบอล โมเลกุลก็จะเป็นเหมือนกับการจับกลุ่มของลูกบอลเหล่านั้นเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดสิ่งที่ใหญ่ขึ้น

การที่อะตอมหลายๆ อะตอมมารวมกันเป็นโมเลกุล จะทำให้เราเห็นคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปจากอะตอมเดี่ยวๆ เช่น น้ำกับออกซิเจนล้วนๆ

ทำไมอะตอมและโมเลกุลสำคัญ?

การเข้าใจว่าอะตอมและโมเลกุลเป็นส่วนประกอบหลักของสารช่วยให้เด็กๆ เริ่มเห็นภาพว่าในสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาเห็นและใช้ทุกวันนั้นมีส่วนประกอบที่เล็กมากๆ ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ แต่กลับมีอิทธิพลต่อคุณสมบัติและการทำงานของสิ่งนั้นๆ เช่น น้ำ, อาหาร, และอากาศ

การอธิบายเคมีในระดับที่เข้าใจง่ายสำหรับเด็ก ๆ จะช่วยให้พวกเขามีพื้นฐานที่ดีในการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกของวิทยาศาสตร์และเคมีในอนาคตถึงโครงสร้างของอะตอมและโมเลกุลด้วยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เด็กๆ รู้จัก เช่น การเปรียบเทียบอะตอมกับลูกบอลและโมเลกุลเป็นกลุ่มลูกบอลหลายๆ ลูก จะทำให้เด็กเข้าใจได้ง่ายขึ้น

สารเคมีและการเปลี่ยนแปลงทางเคมี

สารเคมีคืออะไร?

สารเคมีหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีมวล (น้ำหนัก) และมีพื้นที่ (พื้นที่ที่มันครอบครอง) ซึ่งทุกๆ สิ่งที่เราเห็นและสัมผัสในชีวิตประจำวันต่างก็ประกอบด้วยสารเคมีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นของเหลวที่เราใช้ดื่ม เช่น น้ำ, ก๊าซที่เราหายใจ เช่น อากาศ หรือแม้แต่ของแข็งที่เราใช้สัมผัส เช่น หนังสือ, หิน, หรือไม้

  • น้ำ: น้ำ (H₂O) เป็นสารเคมีที่ประกอบไปด้วยโมเลกุลของน้ำ ซึ่งมีอะตอมของไฮโดรเจนและออกซิเจนรวมกัน
  • อากาศ: อากาศที่เราหายใจประกอบไปด้วยสารเคมีหลายตัว เช่น ออกซิเจน (O₂), ไนโตรเจน (N₂), และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂)

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบหลัก หากเราเรียนรู้เกี่ยวกับสารเคมี เราจะสามารถเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ได้ดียิ่งขึ้น

การเปลี่ยนแปลงทางเคมี

การเปลี่ยนแปลงทางเคมีหมายถึงการที่สารเคมีหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปเป็นสารเคมีใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อสารเคมีมีปฏิกิริยากับสารอื่นๆ และเกิดการสร้างสารใหม่ที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากสารเดิม

การเปลี่ยนแปลงทางเคมีไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นสารเดิมได้เหมือนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ (เช่น การหลอมละลายของน้ำแข็งเป็นน้ำ) ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เห็นได้ชัดเช่น:

  • การเผาไม้ให้กลายเป็นเถ้า: เมื่อเราเผาไม้ ไม้จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเถ้า, ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂), และความร้อน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นไม้ได้
  • การสลายตัวของอาหาร: เมื่ออาหารเน่าเสียจะมีการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้อาหารนั้นสูญเสียคุณสมบัติเดิมไป เช่น การเกิดกลิ่นเหม็นจากการย่อยสลายของอาหาร
  • การเกิดสนิม: เมื่อเหล็กสัมผัสกับน้ำและอากาศจะเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนทำให้เกิดสนิม (Fe₂O₃) ซึ่งเป็นสารเคมีใหม่ที่แตกต่างจากเหล็กเดิม

คุณสมบัติของการเปลี่ยนแปลงทางเคมี

การเปลี่ยนแปลงทางเคมีมักจะมาพร้อมกับสัญญาณบางอย่างที่เราสามารถสังเกตได้ เช่น:

  1. การเปลี่ยนสี: บางครั้งเมื่อสารเคมีเกิดการเปลี่ยนแปลง อาจมีการเปลี่ยนสีที่ชัดเจน เช่น การเปลี่ยนสีจากสีขาวเป็นสีน้ำตาลเมื่อเผาอาหาร
  2. การเกิดก๊าซ: การเกิดก๊าซจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เช่น ฟองอากาศที่เกิดขึ้นในขณะที่เราผสมสารเคมีบางอย่าง เช่น การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) เมื่อใส่เบกกิ้งโซดาในน้ำ
  3. การเกิดความร้อนหรือความเย็น: การเปลี่ยนแปลงทางเคมีบางประเภทอาจทำให้เกิดการปล่อยหรือดูดซับความร้อน เช่น การเผาไหม้ที่ปล่อยความร้อนออกมา หรือปฏิกิริยาทางเคมีบางอย่างที่ทำให้เย็นลง เช่น การละลายเกลือในน้ำ

การเปลี่ยนแปลงทางเคมีในชีวิตประจำวัน

การเปลี่ยนแปลงทางเคมีไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะในห้องทดลองเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราด้วย ตัวอย่างเช่น:

  • การทำอาหาร: การปรุงอาหารเป็นกระบวนการที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีมากมาย เช่น การที่ความร้อนทำให้โปรตีนในไข่เปลี่ยนแปลงจนเป็นไข่สุก หรือการที่สารประกอบในอาหารทำปฏิกิริยากับเครื่องปรุง
  • การทำความสะอาด: เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า หรือผงซักฟอกก็เป็นการใช้สารเคมีในการทำให้คราบสกปรกหลุดออกจากพื้นผิว
  • การสร้างพลังงาน: เมื่อเชื้อเพลิงเช่น ถ่านหิน หรือแก๊สถูกเผา จะเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ปล่อยพลังงานออกมา

การเปลี่ยนแปลงทางเคมีเป็นสิ่งที่ทำให้โลกนี้มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และมันมีบทบาทสำคัญในทุกๆ ด้านของชีวิตประจำวันของเรา

อุปกรณ์ในการทดลองเคมีง่ายๆ ที่บ้าน

การทดลองเคมีในบ้านสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยอุปกรณ์ที่มีอยู่ในบ้าน และไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีหรือเครื่องมือที่ซับซ้อน การทดลองเหล่านี้ช่วยให้เด็กๆ สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเคมีและวิทยาศาสตร์ได้ในวิธีที่สนุกและปลอดภัย นี่คือลิสต์ของอุปกรณ์ที่สามารถใช้ในการทดลองเคมีง่ายๆ ที่บ้าน:

1. ถ้วยตวง

ถ้วยตวงใช้สำหรับวัดสารต่างๆ ที่ต้องการในการทดลอง โดยเฉพาะในกรณีที่เราต้องใช้ปริมาณสารที่แม่นยำ เช่น น้ำหรือสารเคมีอื่นๆ ที่ใช้ในการทดลอง ถ้วยตวงมีหลากหลายขนาด ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าทั่วไป

การใช้งาน: ใช้ในการวัดปริมาณน้ำ, เบกกิ้งโซดา, น้ำส้มสายชู หรือสารอื่นๆ ที่ใช้ในการทดลอง

2. หลอดทดลอง

หลอดทดลองเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับการทดลองที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมี ซึ่งช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสารที่เราใส่ลงไป หลอดทดลองมักทำจากแก้วหรือพลาสติกใส จึงสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในได้

การใช้งาน: ใช้ในการทดสอบปฏิกิริยาเคมีระหว่างสาร เช่น การทดลองที่ใช้เบกกิ้งโซดากับน้ำส้มสายชู หรือการผสมสีผสมอาหารกับน้ำ

3. น้ำ

น้ำเป็นสารเคมีที่สำคัญในหลายการทดลอง น้ำมักใช้เป็นตัวกลางในการผสมสารต่างๆ หรือใช้ในการละลายสารอื่นๆ เช่น การทดลองที่ใช้เบกกิ้งโซดากับน้ำส้มสายชู หรือการละลายเกลือในน้ำเพื่อศึกษาเกี่ยวกับการละลาย

การใช้งาน: ใช้ในเกือบทุกการทดลองเคมี เช่น การละลายสาร, การเจือจางสาร หรือการผสมกับสารเคมีอื่น

4. เบกกิ้งโซดา

เบกกิ้งโซดา (Sodium Bicarbonate) เป็นสารเคมีที่สามารถใช้ในหลายการทดลองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เบกกิ้งโซดามักถูกใช้ร่วมกับน้ำส้มสายชูในการทำปฏิกิริยากลายเป็นฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

การใช้งาน: ใช้ในการทดลองการทำปฏิกิริยาเคมี เช่น การทำฟองก๊าซจากการผสมกับน้ำส้มสายชู การทำโฟม หรือการทำฟองในน้ำ

5. น้ำส้มสายชู

น้ำส้มสายชู (Acetic Acid) เป็นสารเคมีที่มีลักษณะเป็นกรดอ่อน มักใช้ในการทดลองที่เกี่ยวข้องกับการทำปฏิกิริยากับสารเบกกิ้งโซดาหรือสารอื่นๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂)

การใช้งาน: ใช้ร่วมกับเบกกิ้งโซดาในการทดลองทางเคมี เช่น การทำปฏิกิริยากับเบกกิ้งโซดาเพื่อสร้างฟองก๊าซ

6. สีผสมอาหาร

สีผสมอาหารสามารถใช้ในการเพิ่มความน่าสนใจให้กับการทดลองเคมี โดยไม่เพียงแค่ช่วยทำให้การทดลองดูน่าสนใจมากขึ้น แต่ยังสามารถใช้แสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวของสารในน้ำหรือการเปลี่ยนแปลงของสารในปฏิกิริยาเคมี

การใช้งาน: ใช้เพื่อเพิ่มสีสันในการทดลอง เช่น การผสมสีผสมอาหารในน้ำเพื่อดูการกระจายตัว หรือใช้ในการทดลองที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของสารในน้ำ

ตัวอย่างการทดลองเคมีง่ายๆ ที่บ้าน

  1. การทำฟองก๊าซจากเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู
    • อุปกรณ์: เบกกิ้งโซดา, น้ำส้มสายชู, ถ้วยตวง, หลอดทดลอง
    • วิธีการ: ใส่เบกกิ้งโซดาลงในหลอดทดลองประมาณ 1 ช้อนชา จากนั้นเทน้ำส้มสายชูลงไป ปฏิกิริยาจะเกิดขึ้นและทำให้เกิดฟองก๊าซที่ปล่อยออกมา
    • ผลลัพธ์: เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งทำให้เกิดฟองและปฏิกิริยานี้สามารถเห็นได้ชัดเจน
  2. การละลายเกลือในน้ำ
    • อุปกรณ์: เกลือ, น้ำ, ถ้วยตวง, ช้อน
    • วิธีการ: ใส่เกลือลงในน้ำในถ้วยตวงแล้วคนให้ละลาย
    • ผลลัพธ์: จะเห็นว่าเกลือสามารถละลายในน้ำได้ ซึ่งแสดงถึงกระบวนการละลายของสารในน้ำ
  3. การทดลองการเคลื่อนที่ของสีในน้ำ
    • อุปกรณ์: สีผสมอาหาร, น้ำ, ถ้วยตวง
    • วิธีการ: เติมสีผสมอาหารลงในน้ำแล้วสังเกตการกระจายตัวของสีในน้ำ
    • ผลลัพธ์: จะเห็นสีผสมอาหารกระจายตัวในน้ำและสามารถอธิบายการเคลื่อนที่ของอนุภาคในน้ำได้

การทดลองเคมีง่ายๆ สำหรับเด็กในบ้าน

1. การทดลองโฟมจากเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู

การทดลองนี้ไม่เพียงแต่สนุกสนาน แต่ยังช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นเมื่อสารสองชนิดมารวมกัน โดยการทำฟองโฟมจากเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู เป็นการสาธิตที่สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน และเป็นการเรียนรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี

วัสดุที่ใช้:

  • เบกกิ้งโซดา (Sodium Bicarbonate) ประมาณ 1-2 ช้อนชา
  • น้ำส้มสายชู (Acetic Acid) 1/4 ถ้วย
  • สีผสมอาหาร (ถ้าต้องการ) สำหรับเพิ่มสีสันให้กับการทดลอง
  • ภาชนะ เช่น หลอดทดลอง หรือถ้วยตวง

วิธีการทำ:

  1. เตรียมภาชนะ: เริ่มด้วยการเลือกภาชนะที่สามารถรองรับฟองโฟมได้ เช่น หลอดทดลอง หรือถ้วยตวงที่มีความสูงพอสมควรเพื่อให้ฟองโฟมล้นออกมาได้
  2. ใส่เบกกิ้งโซดา: ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปในภาชนะประมาณ 1-2 ช้อนชา (ขึ้นอยู่กับขนาดของภาชนะที่ใช้)
  3. เติมสีผสมอาหาร (ถ้าต้องการ): ถ้าต้องการให้การทดลองมีสีสันที่น่าสนใจ สามารถเติมสีผสมอาหารลงไปในภาชนะที่มีเบกกิ้งโซดา เพื่อให้เห็นการกระจายตัวของสีในฟองโฟม
  4. เติมน้ำส้มสายชู: เทน้ำส้มสายชูลงไปในภาชนะที่มีเบกกิ้งโซดาอย่างรวดเร็ว
  5. สังเกตปฏิกิริยา: เมื่อเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชูมารวมกัน จะเกิดฟองโฟมล้นออกมาจากภาชนะ เนื่องจากการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฟองโฟม

ผลลัพธ์ที่ได้:

  • เมื่อเบกกิ้งโซดา (ซึ่งเป็นสารเบส) ถูกผสมน้ำส้มสายชู (ซึ่งเป็นกรด) จะเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งทำให้เกิดฟองและโฟมที่ล้นออกมาจากภาชนะ
  • การเติมสีผสมอาหารจะทำให้ฟองโฟมดูน่าสนใจมากขึ้น
  • นอกจากนี้เด็กๆ ยังสามารถสังเกตการเคลื่อนที่ของฟองและโฟมในภาชนะได้อย่างชัดเจน

การอธิบายปฏิกิริยา:

การทดลองนี้สาธิตถึงปฏิกิริยาของกรดและเบสที่เรียกว่า การทำปฏิกิริยากรด-เบส (Acid-Base Reaction) เมื่อเบกกิ้งโซดาซึ่งเป็นเบส (NaHCO₃) ผสมกับน้ำส้มสายชูซึ่งเป็นกรด (CH₃COOH) จะเกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และน้ำเป็นผลพลอยได้ ก๊าซนี้ทำให้เกิดฟองโฟมและทำให้การทดลองดูน่าสนใจ

สมการเคมีของปฏิกิริยา: NaHCO3(s)+CH3COOH(aq)→CO2(g)+H2O(l)+CH3COONa(aq)NaHCO₃ (s) + CH₃COOH (aq) \rightarrow CO₂ (g) + H₂O (l) + CH₃COONa (aq)

ข้อควรระวัง:

  • หากมีเด็กทำการทดลอง ควรให้ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่คอยดูแล เพราะแม้ว่าการทดลองนี้จะปลอดภัย แต่ก็อาจมีการล้นของโฟมที่อาจทำให้ยุ่งเหยิง
  • ควรใช้ภาชนะที่มีความสูงพอสมควรเพื่อให้โฟมสามารถล้นออกมาได้ โดยไม่ทำให้ฟองล้นออกไปนอกภาชนะ

ขั้นตอนการทดลอง: การทำโฟมจากเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู

การทดลองนี้เป็นวิธีที่ง่ายและสนุกในการเรียนรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นจากการผสมระหว่างเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู โดยการทดลองนี้จะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจถึงการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้อย่างชัดเจน

วัสดุที่ใช้:

  • เบกกิ้งโซดา (Sodium Bicarbonate) ประมาณ 1-2 ช้อนชา
  • น้ำส้มสายชู (Acetic Acid) 1/4 ถ้วย
  • สีผสมอาหาร (ถ้าต้องการ) สำหรับเพิ่มสีสันให้กับการทดลอง
  • หลอดทดลองหรือถ้วยตวง

ขั้นตอนการทดลอง:

  1. เตรียมภาชนะ: เริ่มจากการเลือกภาชนะที่สามารถรองรับฟองโฟมได้ เช่น หลอดทดลอง หรือถ้วยตวงที่มีความสูงพอสมควร เพื่อให้ฟองโฟมสามารถล้นออกมาได้โดยไม่หก
  2. ใส่เบกกิ้งโซดา: ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปในภาชนะประมาณ 1-2 ช้อนชา ขึ้นอยู่กับขนาดของภาชนะที่ใช้
  3. เติมสีผสมอาหาร (ถ้าต้องการ): ถ้าต้องการให้การทดลองดูน่าสนใจ สามารถเติมสีผสมอาหารลงไปในภาชนะที่มีเบกกิ้งโซดา เพื่อให้เห็นการกระจายตัวของสีในฟองโฟม
  4. เติมน้ำส้มสายชู: เติมน้ำส้มสายชูลงไปในภาชนะที่มีเบกกิ้งโซดาอย่างรวดเร็ว
  5. สังเกตผลลัพธ์: หลังจากเติมน้ำส้มสายชูลงไปในเบกกิ้งโซดา จะเกิดฟองโฟมที่ล้นออกมาจากภาชนะ เนื่องจากการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) จากปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น

ผลลัพธ์ที่ได้:

  • เมื่อเบกกิ้งโซดา (ซึ่งเป็นเบส) ถูกผสมกับน้ำส้มสายชู (ซึ่งเป็นกรด) จะเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งจะทำให้เกิดฟองโฟมล้นออกจากภาชนะ
  • หากเติมสีผสมอาหารลงไป ฟองโฟมจะมีสีสันที่น่าสนใจมากขึ้น

การอธิบายปฏิกิริยา:

การทดลองนี้แสดงถึงปฏิกิริยาของกรดและเบส ซึ่งจะเกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างเบกกิ้งโซดา (NaHCO₃) และน้ำส้มสายชู (CH₃COOH)

สมการเคมีของปฏิกิริยา: NaHCO3(s)+CH3COOH(aq)→CO2(g)+H2O(l)+CH3COONa(aq)NaHCO₃ (s) + CH₃COOH (aq) \rightarrow CO₂ (g) + H₂O (l) + CH₃COONa (aq)

ข้อควรระวัง:

  • ควรให้ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่คอยดูแลเด็กๆ ขณะทำการทดลอง
  • ควรใช้ภาชนะที่มีความสูงพอสมควรเพื่อป้องกันไม่ให้ฟองโฟมล้นออกไปนอกภาชนะ

คำอธิบาย: การทดลองนี้เกิดจากการที่เบกกิ้งโซดา (สารเคมีชนิดหนึ่ง) ปฏิกิริยากับกรดในน้ำส้มสายชู ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งสร้างฟองโฟมออกมา

การทำลาวาไฟ (โฟมลาวา)

การทดลองนี้จะทำให้เด็กๆ ได้เห็นการสร้างโฟมลาวาที่มีลักษณะเหมือนกับลาวาไหลจากภูเขาไฟ โดยใช้วัสดุที่สามารถหามาได้ง่ายในบ้าน เป็นการทดลองที่น่าสนุกและช่วยสอนเรื่องการผสมสารเคมี และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของสารต่างๆ

วัสดุที่ใช้:

  • น้ำมันพืช (1/4 ถ้วย)
  • น้ำ (1/4 ถ้วย)
  • สีผสมอาหาร (สีใดก็ได้ตามต้องการ)
  • เบกกิ้งโซดา (1-2 ช้อนชา)
  • น้ำส้มสายชู (1/4 ถ้วย)
  • ถ้วยหรือภาชนะที่มีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับโฟม

ขั้นตอนการทดลอง:

  1. เตรียมภาชนะ: เลือกภาชนะที่สามารถรองรับโฟมได้พอสมควร เช่น ถ้วยหรือแก้วที่มีความสูง
  2. ผสมน้ำมันและน้ำ: ใส่น้ำมันพืชลงในภาชนะ ตามด้วยน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 (1/4 ถ้วยน้ำมันพืช กับ 1/4 ถ้วยน้ำ) จากนั้นใช้ช้อนหรือแท่งคนให้ส่วนผสมเข้ากัน
  3. เติมสีผสมอาหาร: ใส่สีผสมอาหารลงไปในส่วนผสมที่มีน้ำมันและน้ำ เพื่อให้ลาวามีสีสันตามที่ต้องการ
  4. เติมเบกกิ้งโซดา: ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปประมาณ 1-2 ช้อนชาในส่วนผสมของน้ำและน้ำมัน
  5. เตรียมการปฏิกิริยา: ใส่น้ำส้มสายชูลงไปในภาชนะที่มีส่วนผสมทั้งหมด
  6. สังเกตผลลัพธ์: หลังจากเติมน้ำส้มสายชูลงไปในส่วนผสม เบกกิ้งโซดาจะเริ่มทำปฏิกิริยากับน้ำส้มสายชู และเกิดฟองที่มีลักษณะเหมือนลาวาไหลออกจากภูเขาไฟ

ผลลัพธ์ที่ได้:

  • ฟองลาวาจะไหลออกจากภาชนะในลักษณะคล้ายกับลาวา เมื่อเกิดปฏิกิริยาระหว่างเบกกิ้งโซดากับน้ำส้มสายชู สารเคมีจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่ทำให้เกิดการฟอง
  • สีผสมอาหารที่เติมลงไปจะช่วยให้ฟองลาวามีสีสันที่ดูน่าสนใจมากขึ้น

การอธิบายปฏิกิริยา:

ในปฏิกิริยานี้ เบกกิ้งโซดา (NaHCO₃) ซึ่งเป็นสารเบสจะทำปฏิกิริยากับน้ำส้มสายชู (CH₃COOH) ซึ่งเป็นสารกรด โดยเกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่ทำให้เกิดฟอง โฟมที่เกิดขึ้นจะล้นออกมาในลักษณะคล้ายลาวาไหลจากภูเขาไฟ

สมการเคมีของปฏิกิริยา: NaHCO3(s)+CH3COOH(aq)→CO2(g)+H2O(l)+CH3COONa(aq)NaHCO₃ (s) + CH₃COOH (aq) \rightarrow CO₂ (g) + H₂O (l) + CH₃COONa (aq)

การที่น้ำมันพืชผสมกับน้ำจะสร้างความแตกต่างในความหนืด (viscosity) ของของเหลว ทำให้การไหลของโฟมคล้ายกับการไหลของลาวา

ข้อควรระวัง:

  • ควรให้ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ดูแลเด็กๆ ขณะทำการทดลอง
  • ควรใช้ภาชนะที่มีขนาดใหญ่พอสมควรเพื่อป้องกันไม่ให้โฟมล้นออกไปนอกรอบ
  • ควรระวังการใช้สีผสมอาหารที่อาจทำให้เสื้อผ้าหรือพื้นเป็นคราบ

ขั้นตอนการทดลอง:

  1. ใส่น้ำมันพืชลงในขวดพลาสติก
  2. เติมน้ำลงไปในขวดเพื่อให้เกิดการแยกชั้นระหว่างน้ำกับน้ำมัน
  3. เติมสีผสมอาหารลงไป
  4. ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปในขวด
  5. เติมน้ำส้มสายชูลงไปแล้วสังเกตการเกิดฟองโฟมที่เหมือนลาวา

คำอธิบาย: การทดลองนี้แสดงให้เห็นถึงการทำปฏิกิริยาระหว่างเบกกิ้งโซดากับน้ำส้มสายชู ทำให้เกิดฟองโฟมที่เหมือนลาวา ซึ่งเป็นการแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่น่าสนุกและน่าตื่นเต้น

การทดลองทำสีเปลี่ยนจากน้ำเปล่า

การทดลองนี้จะทำให้เด็กๆ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสีในน้ำที่เกิดจากการผสมสารต่างๆ ซึ่งเป็นการสอนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างกรดและเบส และจะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อม (กรด-เบส) และการเปลี่ยนสีได้อย่างชัดเจน

วัสดุที่ใช้:

  • น้ำสะอาด (1 ถ้วย)
  • เบกกิ้งโซดา (1-2 ช้อนชา)
  • น้ำส้มสายชู (1-2 ช้อนชา)
  • สีผสมอาหาร (สีใดก็ได้ตามต้องการ)
  • ถ้วยหรือแก้วใส

ขั้นตอนการทดลอง:

  1. เตรียมน้ำสะอาด: ใส่น้ำสะอาดลงในถ้วยหรือแก้วใสประมาณ 1 ถ้วย
  2. เติมเบกกิ้งโซดา: ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปในน้ำสะอาดประมาณ 1-2 ช้อนชา และคนให้เบกกิ้งโซดาละลายหมด
  3. เติมสีผสมอาหาร: เติมสีผสมอาหารลงไปในน้ำที่ผสมเบกกิ้งโซดาแล้ว เพื่อให้เกิดสีสันที่สวยงาม
  4. เติมน้ำส้มสายชู: ค่อยๆ เติมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำที่มีเบกกิ้งโซดาและสีผสมอาหารอยู่
  5. สังเกตการเปลี่ยนแปลงสี: หลังจากเติมน้ำส้มสายชูลงไป เด็กๆ จะเห็นว่าสีในน้ำจะเปลี่ยนไป

ผลลัพธ์ที่ได้:

  • เมื่อน้ำส้มสายชู (ที่มีความเป็นกรด) ผสมกับเบกกิ้งโซดา (ที่มีความเป็นเบส) จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีในน้ำ
  • ผลลัพธ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำส้มสายชูและเบกกิ้งโซดา และการผสมของสีผสมอาหาร

การอธิบายปฏิกิริยา:

ในการทดลองนี้ เบกกิ้งโซดา (NaHCO₃) ซึ่งเป็นสารเบสจะทำปฏิกิริยากับน้ำส้มสายชู (CH₃COOH) ซึ่งเป็นกรด ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่ทำให้เกิดการฟอง การเติมสีผสมอาหารจะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงนี้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น เนื่องจากสีในน้ำจะเปลี่ยนไปเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง pH (ระดับความเป็นกรด-เบส) ของน้ำ

สมการเคมีของปฏิกิริยา: NaHCO3(s)+CH3COOH(aq)→CO2(g)+H2O(l)+CH3COONa(aq)NaHCO₃ (s) + CH₃COOH (aq) \rightarrow CO₂ (g) + H₂O (l) + CH₃COONa (aq)

ข้อควรระวัง:

  • ควรให้ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ดูแลเด็กๆ ขณะทำการทดลอง
  • ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำส้มสายชูโดยตรงกับผิวหนัง เนื่องจากอาจทำให้ระคายเคืองได้
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเด็กๆ ใช้สารเคมีในปริมาณที่ปลอดภัย

ขั้นตอนการทดลอง:

  1. ใส่น้ำสะอาดลงในถ้วย
  2. เติมสีผสมอาหารลงในน้ำเพื่อให้ได้สีที่ต้องการ
  3. เติมเบกกิ้งโซดาลงไป
  4. เติมน้ำส้มสายชูและสังเกตว่าความเป็นกรด-ด่างจะทำให้สีเปลี่ยนแปลง

คำอธิบาย: การทดลองนี้จะสอนเด็กๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสีตามความเป็นกรด-ด่าง (pH) ซึ่งเป็นการนำทฤษฎีทางเคมีมาใช้ในการทดลองที่สนุกสนาน

ประโยชน์ของการทดลองเคมีในบ้าน

การทดลองเคมีง่ายๆ สำหรับเด็กในบ้านไม่เพียงแต่สนุกและน่าสนใจ แต่ยังช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับหลายๆ ด้านที่สำคัญที่ส่งผลดีต่อการพัฒนาทักษะและความเข้าใจในวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในด้านเคมี ดังนี้:

1. การพัฒนาทักษะการสังเกต

การทดลองเคมีจะช่วยให้เด็กๆ ได้ฝึกการสังเกตผลลัพธ์จากการทดลอง เช่น การเปลี่ยนแปลงของสี ฟองที่เกิดขึ้น หรือการปล่อยก๊าซ เมื่อเด็กๆ ได้สังเกตผลการทดลองและตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาจะสามารถพัฒนาทักษะการสังเกตที่แม่นยำขึ้น ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานในการเรียนวิทยาศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาทักษะนี้ยังช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้การคิดอย่างมีวิจารณญาณและพิจารณาผลลัพธ์จากการทดลองอย่างรอบคอบ

2. การเข้าใจในวิทยาศาสตร์

การทดลองเคมีช่วยให้เด็กๆ เข้าใจหลักการพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เช่น ปฏิกิริยาเคมี การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ และการทำงานของสารเคมี เด็กๆ จะได้เรียนรู้ว่าอะไรทำให้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงในวิธีที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้จริง เช่น เมื่อเบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำส้มสายชูจะเกิดฟองขึ้น ซึ่งทำให้เด็กๆ ได้เข้าใจถึงการทำงานของเคมีในชีวิตประจำวันได้อย่างชัดเจน

3. การกระตุ้นความสนใจในวิทยาศาสตร์

การทำการทดลองเคมีที่บ้านช่วยกระตุ้นความสนใจของเด็กๆ ในวิทยาศาสตร์ การเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งในสารเคมีช่วยให้เด็กๆ รู้สึกสนุกและตื่นเต้นกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และอาจทำให้พวกเขามีความสนใจในสาขาวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น เด็กๆ ที่เคยทำการทดลองเคมีในบ้านอาจมีแนวโน้มที่จะเลือกเรียนวิทยาศาสตร์ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสังคม

4. การเรียนรู้ผ่านการเล่น

การทดลองเคมีในบ้านช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ผ่านการเล่นและการทดลอง ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสอนเด็กๆ การทดลองจะช่วยให้เด็กๆ ได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง และได้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทดลองเหล่านั้น นอกจากนี้ การเรียนรู้ผ่านการเล่นยังทำให้เด็กๆ รู้สึกผ่อนคลายและสนุกสนาน และส่งผลดีต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

5. การเสริมสร้างทักษะการทำงานร่วมกัน

หากทำการทดลองร่วมกับเพื่อนหรือผู้ปกครอง เด็กๆ จะได้ฝึกทักษะการทำงานร่วมกัน เช่น การแบ่งงานกันทำ การสื่อสารและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การทดลองเคมีที่ทำร่วมกันสามารถเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กๆ และคนในครอบครัวหรือเพื่อนๆ รวมถึงช่วยเสริมทักษะทางสังคมในการทำงานเป็นทีม

6. การพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ

การทดลองเคมีในบ้านสามารถช่วยเสริมสร้างทักษะทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ เช่น การตั้งสมมติฐาน การทดลอง การวิเคราะห์ผล และการสรุปผล การทำการทดลองด้วยตนเองช่วยให้เด็กๆ ได้เข้าใจกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นและสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้

สรุป

การทดลองเคมีง่ายๆ ที่บ้านเป็นวิธีที่ดีในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กๆ ได้สนุกกับการทดลอง แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะและความเข้าใจในวิทยาศาสตร์ การสังเกตการเปลี่ยนแปลง การทำงานร่วมกัน และการเรียนรู้ผ่านการเล่น การทดลองเหล่านี้ช่วยกระตุ้นความสนใจในวิทยาศาสตร์และเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ในวิธีที่สนุกและน่าสนใจ

ข้อควรระวังในการทดลองเคมี

การทดลองเคมีที่บ้านเป็นกิจกรรมที่สนุกและเป็นการเรียนรู้ที่ดีสำหรับเด็กๆ แต่เพื่อความปลอดภัยในการทดลอง จำเป็นต้องมีข้อควรระวังที่สำคัญดังนี้:

1. ใช้สารเคมีที่ปลอดภัย

เมื่อทำการทดลองเคมีที่บ้าน ควรเลือกใช้สารเคมีที่ไม่เป็นอันตรายต่อเด็ก เช่น เบกกิ้งโซดา น้ำส้มสายชู หรือสารธรรมชาติที่ปลอดภัยในการใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารเคมีที่มีพิษหรือทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย การใช้สารธรรมชาติหรือสารเคมีที่ไม่เป็นพิษจะช่วยให้การทดลองปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

2. การควบคุมการทดลอง

ควรมีผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองคอยดูแลและควบคุมการทดลองอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าการทดลองดำเนินไปอย่างปลอดภัยและไม่เกิดอุบัติเหตุ ผู้ใหญ่สามารถช่วยแนะนำวิธีการทดลองและเตือนเด็กๆ ถึงข้อควรระวังในการใช้สารเคมีต่างๆ เช่น ห้ามสัมผัสสารเคมีที่อาจระคายเคืองผิวหนังหรือไม่ควรสูดดมกลิ่นจากสารบางประเภท

3. การทำความสะอาด

หลังจากการทดลองเสร็จสิ้น ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือสีผสมอาหารที่อาจเหลืออยู่ในอุปกรณ์และเป็นอันตรายต่อผิวหนังหรืออาหารในครั้งถัดไป ควรล้างอุปกรณ์ด้วยน้ำสะอาดและใช้ผ้าหรือกระดาษเช็ดให้แห้ง

4. การจัดการสารเคมี

หากใช้สารเคมีที่มีบรรจุภัณฑ์หรือฉลาก ควรอ่านคำแนะนำอย่างละเอียดก่อนการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับวิธีการใช้และการจัดการสารเคมีในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เช่น การทำให้สารเคมีเข้าตาหรือผิวหนัง ควรมีวิธีการปฐมพยาบาลที่เหมาะสม

5. ไม่ทดลองสารเคมีที่ไม่รู้จัก

ไม่ควรทดลองสารเคมีที่ไม่รู้จักหรือไม่มั่นใจในความปลอดภัยของสารนั้นๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่ไม่ได้มาตรฐานหรือสารที่มีสัญลักษณ์อันตรายโดยไม่มีความรู้เพียงพอ

6. การจัดเก็บสารเคมี

หลังจากการทดลองเสร็จสิ้น ควรเก็บสารเคมีและอุปกรณ์ทดลองให้พ้นจากมือเด็ก หรือในที่ที่เด็กไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่น การเก็บในตู้เก็บของที่มีการล็อคหรือมีที่เก็บที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ ไปหยิบใช้สารเคมีโดยไม่ตั้งใจ

7. การตรวจสอบพื้นที่ทดลอง

ตรวจสอบพื้นที่ที่ใช้ในการทดลองให้ปลอดภัยและเหมาะสม เช่น ใช้โต๊ะที่สะอาดและแข็งแรง ป้องกันไม่ให้สารเคมีหกเลอะเทอะ และควรใช้ผ้าคลุมโต๊ะหรือพื้นเพื่อป้องกันสารเคมีไม่ให้กระจายไปทั่ว

8. หลีกเลี่ยงการทดลองที่เกี่ยวข้องกับไฟหรือความร้อน

การทดลองเคมีบางประเภทอาจต้องใช้ความร้อนหรือเปิดไฟ ซึ่งควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น ควรใช้เตาไฟหรืออุปกรณ์ที่ปลอดภัยและควบคุมการใช้งานอย่างใกล้ชิด หลีกเลี่ยงการทดลองที่เกี่ยวข้องกับการจุดไฟในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย

สรุป

การทดลองเคมีง่ายๆ ที่บ้านเป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยเสริมสร้างทักษะและความรู้ในวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กๆ แต่การทดลองเคมีต้องมีการระมัดระวังและควบคุมอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยของเด็กและผู้ที่เกี่ยวข้อง การเลือกใช้สารเคมีที่ปลอดภัย การมีผู้ใหญ่คอยดูแล และการทำความสะอาดหลังการทดลองเป็นสิ่งที่สำคัญในการป้องกันอันตรายจากการทดลองเคมี

 

 

 

ซื้อ

 

สนใจติดต่อ เวิลด์เคมีคอล กรุ๊ป ผู้นําด้านการจําหน่ายและนำเข้า สารเคมีภัณฑ์ เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ และ ขนาดย่อม ประเภท เคมีอุตสาหกรรม เคมีทําความสะอาด เคมีสระว่ายน้ำ เคมีบำบัดน้ำ เคมีงานปั้น-งานหล่อ เคมีอาหาร กลิ่น สารสกัด สี น้ำหอม เคมีเครื่องสำอาง อาทิ กลีเซอรีน โซดาไฟเกล็ด โซเดียมเมต้าไบซัลไฟต์ เอทิลแอลกอฮอล์ ฯลฯ สารพัดด้านเคมี เวิลด์เคมิคอล กรุ๊ป พร้อมให้บริการและให้ปรึกษากับลูกค้าทุกท่าน

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line ID : @worldchemical
Facebook : https://www.facebook.com/chemical.chiangmai
เว็บไซต์ : www.worldchemical.co.th
โทร : 053 204 446-7