แอสปาแตม เป็นสารที่มีความเป็นไปได้ว่าจะก่อมะเร็ง จริงหรอ ?
แอสปาแตม เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์หลายชนิด
เห็นข่าวล่าสุดว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังจะบรรจุสารให้ความหวาน “แอสปาแตม” เป็นสาร “ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะก่อมะเร็ง” ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้จักกับสารให้ความหวานนี้ทั้งที่เห็นทุกวันหรืออาจกินไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักแอสปาแตมกันค่ะ
แอสปาแตม (Aspartame) คืออะไร
แอสปาแตมเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น น้ำตาลเทียม เครื่องดื่มอัดลม หมากฝรั่งไร้น้ำตาล เป็นต้น
ความเป็นมาของแอสปาแตม
แอสปาแตม หรือ APM ถูกค้นพบครั้งแรกด้วยความบังเอิญ เมื่อปี ค.ศ.1965 โดยเจมส์ แชลเตอร์ (James Schlater) ขณะทำการสังเคราะห์สารที่ใช้รักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร โดยระหว่างทำการตกผลึก L-Aspartyl-L-phenylalanine methyl ester จากเอทานอล (ethanol) ปรากฏว่าสารละลายที่กำลังผสมหกรดมือ แต่เขาไม่ได้สนใจจึงไม่ได้ล้างมือ เมื่อเขาจะหยิบกระดาษกรอง เขาได้เลียนิ้วมือเพื่อให้หยิบกระดาษกรองได้ง่ายขึ้น ทว่าเมื่อเลียนิ้วมือ เขากลับได้รับรสหวานจากนิ้ว
แอสปาแตมเป็นเมทิลเอสเทอร์ (methyl ester) ของไดเพปไทด์แอสพาทิลเฟนนิลอะลานีน (dipeptide aspartylphenylalanine) เตรียมได้จากกรดอะมิโน (amino acid) 2 ชนิด คือ กรดแอล-แอสปาร์ติก (L-aspartic acid) และ แอล-เฟนนิลอะลานีน (L-phenylalanine) ได้ผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น ความสามารถในการละลายขึ้นอยู่กับ ความเป็นกรด-ด่าง (pH) และอุณหภูมิ
รสหวานของแอสปาแตมคล้ายน้ำตาลมาก แต่มีความหวานประมาณ 180-200 เท่าของน้ำตาล และเป็นรสหวานที่ติดลิ้นนานกว่ารสหวานที่ได้จากน้ำตาล หรือสารให้ความหวานชนิดอื่น ซึ่งมีคุณสมบัติที่เหมาะกับผลิตภัณฑ์อาหารบางชนิด แต่หากไม่ต้องการให้หวานติดนาน อาจปรับปรุงได้โดยการผสมแอสปาร์แตมกับสารให้ความหวานชนิดอื่น หรือเติมเกลือบางชนิด เช่น อลูมินัมโปแตสเซีมซัลเฟต (aluminium potassium sulfate) หรืออาจลดปริมาณลงได้
แอสปาแตมเป็นโปรตีน เมื่อถูกเผาผลาญจะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรีต่อกรัม ซึ่งเท่ากับน้ำตาล แต่เนื่องจากมีความหวานสูงกว่าน้ำตาลมาก ปริมาณที่ใช้จึงน้อยมาก ดังนั้น ปริมาณแคลอรีที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้แอสปาร์แตมเป็นสารให้ความหวานจะต่ำมาก ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ใช้แอสปาร์แตมเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการโฆษณาสรรพคุณในเรื่องของแคลอรีต่ำ ไม่ทำให้อ้วน เช่น น้ำตาลเทียม หมากฝรั่งไร้น้ำตาล ยาสำหรับเด็กบางชนิด โดยเฉพาะเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมสูตรไดเอททั้งหลาย ซึ่งนำแอสปาร์แตมมาใช้เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เพื่อให้ได้เครื่องดื่มที่มีแคลอรีต่ำ แต่มีความหวานเหมือนน้ำตาล สัดส่วนปริมาณแอสปาร์แตมที่ใช้ จะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.055-0.090 ขึ้นอยู่กับชนิดและยี่ห้อของเครื่องดื่มอัดลม
โทษของแอสปาร์แตม
แม้ว่าแอสปาแตมจะเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลได้เป็นอย่างดี แต่แอสปาแตมนั้นได้จากกระบวนการสังเคราะห์ ซึ่งแตกต่างจากน้ำตาลซึ่งได้จากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ดังนั้น แอสปาแตม จึงเป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง การที่จะบริโภคจึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัย
ในสหรัฐอเมริกาได้มีการขอใช้แอสปาแตม ครั้งแรกในปี ค.ศ.1974 แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ เนื่องจากพบว่า ส่วนประกอบที่เป็นกรดอะมิโนของแอสปาแตมนั้น ทำให้สัตว์ทดลองเกิดภาวะผิดปกติเมื่อบริโภคในปริมาณสูง แต่หลังจากที่ได้มีการขอข้อมูลเพิ่มเติม และพิจารณาใหม่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการอนุญาตให้ใช้แอสปาร์แตมได้ในปี ค.ศ.1981
จากนั้นในปีเดียวกันแคนาดาได้อนุญาตให้ใช้แอสพาร์แตมในอาหารต่างๆ เช่นกัน และในเวลาต่อมาก็ได้มีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการใช้เแอสปาแตมอย่างกว้างขวางมากขึ้น ก็มีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับผลของการใช้แอสปาแตมกันมากขึ้นเช่นกัน รวมทั้งผลการศึกษาที่ออกมาในเชิงคัดค้านการนำแอสปาร์แตมมาใช้ โดยกล่าวว่า แอสปาร์แตมสามารถสลายตัวได้ที่อุณหภูมิห้อง กลายเป็นสารพิษและองค์ประกอบที่เป็นอันตรายอื่นๆ เช่น เมธานอล (methanol) ดีเคพี (DKP หรือ difetopierzine) และสารก่อมะเร็งอื่นๆ
ก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษาในอิตาลี ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 2000 ที่ระบุว่า โรคมะเร็งที่พบในหนูทดลองมีส่วนเกี่ยวข้องกับสารแอสปาแตม และในปีที่ผ่านมา มีการศึกษาในฝรั่งเศส ที่เก็บข้อมูลของผู้ใหญ่ 100,000 คน พบว่าผู้ที่บริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในบริมาณมาก ซึ่งรวมถึงแอสปาแตม มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากกว่าผู้ที่บริโภคสารเหล่านี้ในปริมาณที่น้อยกว่า
โดยล่าสุดสำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานอ้างอิงแหล่งข่าววงในขององค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าองค์กรระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง หรือ IARC ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เตรียมบรรจุแอสปาแตมเข้าในรายการสารที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งในเดือน ก.ค.นี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการวิจัยมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแล ผู้บริโภค และผู้ผลิต ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนร่วมกัน
แล้วต้องเลิกกินแอสปาแตมเลยมั๊ย?
แล้วเราต้องเลิกกินสารให้ความหวานตัวนี้เลยไหม? ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจความหมายการแบ่งกลุ่มของทาง WHO กันก่อนค่ะ
องค์การอนามัยโลกได้แบ่งสารก่อมะเร็งออกเป็น 4 กลุ่ม โดยแบ่งตามปริมาณหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ามันก่อมะเร็งจริงหรือไม่จริง แต่ไม่ได้บอกว่ามันทำให้เราเสี่ยงมะเร็งแค่ไหนนะ
“สารกลุ่ม 1 สารก่อมะเร็ง”
เป็นสารที่สรุปได้แล้วว่ามันก่อมะเร็งจริงๆ เช่น รู้ว่ามันก่อมะเร็งยังไง มีผู้ป่วยประมาณเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นสารตัวท็อปในวงการก่อมะเร็ง อย่างพวก บุหรี่ และสารกัมมันตรังสี
“สารกลุ่ม 2A สารอาจจะก่อมะเร็ง”
เป็นสารที่ค่อนข้างมั่นใจแล้วแหละว่ามันก่อมะเร็ง เช่น รู้กลไกก่อโรคแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐานว่ามันก่อมะเร็งในคนจริงไหม (อาจรอเก็บข้อมูลผู้ป่วย) ส่วนใหญ่เป็นสารที่เคยใช้มาก่อน อาจจะเป็นยา หรืออาหาร
“สารกลุ่ม 2B สารมีความเป็นไปได้ว่าจะก่อมะเร็ง”
คือสารที่ดูจะมีความเกี่ยวข้องกับมะเร็ง แต่ยังไม่รู้อะไรเท่าไหร่ เช่น ยาตัวนึงกลุ่มผู้ใช้ดูจะมีคนเป็นมะเร็งมากขึ้นนิดหน่อย แต่ยังไม่แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุอื่นหรือไม่ ซึ่งแอสปาแตมเพิ่งจะจัดอยู่ในกลุ่มนี้
“สารกลุ่ม 3 สารไม่ก่อมะเร็ง” คือสารที่รู้แล้วว่าไม่ได้ก่อมะเร็ง
ดังนั้นการที่สารแอสปาแตมถูกจัดในกลุ่ม 2B จึงหมายความว่า สารแอสปาแตมดูจะมีความเกี่ยวข้องกับมะเร็ง แต่ยังไม่รู้ว่ามันก่อมะเร็งได้จริงไหมนั่นเองค่ะ
น้ำตาลเทียม 3 ชนิดที่ไทยห้ามใช้-นำเข้า
ในส่วนของประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประกาศห้ามใช้ใส่ในอาหารทุกชนิด รวมทั้งนำเข้าสารเคมีเข้ามาในราชอาณาจักร ได้แก่
- โซเดียมไซคลาเมท
- ดัลซิน
- สติวิโอไซด์
ยังมีข้อก้าหนดห้ามใช้ซัคคารีน กับผลิตภัณฑ์อาหารบางประเภท ได้แก่ เครื่องปรุงรส และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด ด้วยเหตุผลที่ว่าซัคคารีนเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย จึงไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคในวัยเด็กซึ่งอยู่ในช่วงที่ต้องการพลังงานสูง
ปริมาณน้ำตาลเทียมที่บริโภคได้ต่อวัน
พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 อนุญาตให้ใช้วัตถุที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลหรือใช้รวมกับน้ำตาล ตามมาตรฐานอาหาร เอฟ เอ โอ/ดับบลิว เอช โอ, โคเด็กซ (Joint FAO/WHO, Codex) โดยปริมาณที่องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (USDA) อนุญาตให้รับบริโภคได้ตามค่า acceptable daily intake levels (ADI) น้ำตาลเทียมแต่ละชนิดจะมีค่า ADI แตกต่างกัน ดังนี้
– แอสปาร์เทม ค่า ADI เท่ากับ 40-50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
– ซัคคาริน ค่า ADI เท่ากับ 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
– อะซิซัลเฟมโพแทสเซียม ค่า ADI เท่ากับ 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
– ซูคราโลส เท่ากับ, ค่า ADI เท่ากับ 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
ข้อควรระวัง
การดื่มน้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาล หากดื่มติดต่อกันและดื่มในปริมาณ มากๆ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ติดรสหวาน มีความอยากบริโภคอาหารรสหวานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิด พฤติกรรมการบริโภคที่ไม่พึงประสงค์ อาจส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว เป็นสาเหตุของโรคอ้วนลง พุง และโรคเบาหวาน เป็นต้น
โทษของน้ำตาลเทียม
- แต่ละประเภทไม่เหมือนกัน หากเป็นซัคคารินหรือขัณฑสกร มีรายงานการวิจัย ว่าทำให้เกิดมะเร็งในหนูเมื่อใช้ในขนาดสูง ควรหลีกเลี่ยง
- ทำให้น้ำหนัก เส้นรอบเอว และดัชนีมวลกายเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงการ เกิดโรคอ้วนลงพุง
- เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเพิ่มขึ้น จากงานวิจัย11 เรื่อง พบว่าการบริโภคเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีน้ำตาล ท้าให้มีความเสี่ยงจะเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้น 18 % ขณะที่มี 3 ผลการศึกษา เรื่องการบริโภค น้ำอัดลมใส่น้ำตาลเทียมทำให้มีความเสี่ยงจะเป็นโรคอ้วนได้ 59 % อาจเป็นเพราะผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมที่ใช้น้ำตาลเทียมคิดว่า การดื่มน้ำอัดลมที่ไม่มีพลังงาน ทำให้สามารถบริโภคอาหารที่มีพลังงานสูงกว่าเดิมได้เพิ่มขึ้น จึงบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป
- ส่งผลต่อการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและระดับอินซูลิน โดยการบริโภคน้ำตาลเทียมเป็นประจำในปริมาณมากๆ จะส่งผลเช่นเดียวกันกับการบริโภคอาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูง อีกทั้ง ทำให้การรับรู้รสชาติเปลี่ยนไป พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป เกิดความอยากบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม รสหวาน ทำให้มีการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้เพิ่มขึ้นจากปกติ ส่งผลต่อการเกิดโรคเมตาบอลิกและโรคเบาหวานชนิดที่ 2
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
- Facebook : https://www.facebook.com/chemical.chiangmai
- Website : www.worldchemical.co.th
- Tel : 053 204 446-7
- Line ID : @worldchemical